Monday, September 1, 2014

เศรษฐสาตร์ กับ ความรัก

ปี 2010 รางวัลโนเบลทางเศรษฐศาสตร์ถูกมอบให้กับ DMP Model เกี่ยวกับการค้นหาคู่ที่เหมาะสมระหว่างแรงงานกับนายจ้าง ซึ่งต้องอาศัยทั้งความพยายามและเวลา หากนำเอาแนวคิดนี้มาประยุกต์กับการหาแฟน ลองมาดูกันว่า เราจะเรียนรู้อะไรได้บ้าง
รางวัลโนเบลทางด้านเศรษฐศาสตร์ปี 2010 ถูกมอบให้แก่ Peter Diamond, Dale Mortensen และ Christopher Pissarides (DMP) ในแบบจำลอง “การค้นหาและการจับคู่” (Search and Matching Model) แบบจำลองที่ว่านี้เน้นไปที่ตลาดแรงงาน (Labor Market) โดยทั้งแรงงานและนายจ้างต่างก็ต้องค้นหาซึ่งกันและกัน เพื่อให้ได้คู่ที่เหมาะสมที่สุด แรงงานต้องการนายจ้างที่มีงานในแบบที่ตนเองต้องการ ขณะที่นายจ้างเองก็ต้องการแรงงานที่มีทักษะเหมาะสมกับงานที่ตนเองมีอยู่
แต่เนื่องจากการมีข้อมูลข่าวสารที่ไม่สมบูรณ์ของทั้งแรงงานและนายจ้าง (imperfect information about trading partners) อุปสงค์และอุปทานของแรงงานที่หลากหลาย (heterogeneous demand and supply) การติดสัญญาต่างๆ หรือกระบวนการต่างๆ ที่ล่าช้า (slow mobility) การไม่ให้ความร่วมมือแก่กันและกันเพื่อการค้นหาที่ดีกว่าอย่างเต็มที่ (coordination failures) และปัจจัยอื่นๆ จึงส่งผลให้การค้นหาซึ่งกันและกันมีต้นทุน จนบางครั้งต่างฝ่ายต่างก็ไม่อาจรอจนเจอคู่ที่เหมาะสมที่สุดได้
ความไม่ลงรอยกัน (friction) ของการการค้นหาและการจับคู่ (search and match) มีบทบาทสำคัญมากในตลาดแรงงาน และก็ไม่ใช่ว่าอธิบายได้เฉพาะตลาดแรงงานเท่านั้น แต่ยังสามารถอธิบายตลาดขายบ้าน เสื้อผ้า สินค้ามือสอง สินค้าเน้นดีไซน์ รวมไปถึงการหาแฟนได้อีกด้วย ซึ่งตัว Diamond, Mortensen และ Pissarides เองก็ได้เอ่ยถึงประเด็นที่เกี่ยวกับเรื่องนี้เอาไว้ด้วยเช่นกัน

“หาคนที่เหมาะสมสักคนคงยากเพราะมีคนมากมายบนโลกใบนี้” (ที่มาของภาพ)


ขออธิบายถึง DMP Model ในตลาดแรงงานที่เกี่ยวข้องกับการค้นหาและจับคู่ของแรงงานและนายจ้าง ไปพร้อมๆ กับการหาแฟนซึ่งเป็นการค้นหาและจับคู่ของผู้หญิงและผู้ชาย ซึ่งหากรำมาประยุกต์ใช้ก็น่าจะมีประเด็น ดังต่อไปนี้

๑. การตามหาคนที่เหมาะกับเราต้องอาศัยเวลา…เสมอ (Finding Mr./Mrs. Right takes time. Always.) ไม่ต่างไปจากการค้นหาและจับคู่กันของแรงงานและนายจ้างที่เหมาะสม ซึ่งเราต้องใช้ทั้งเวลา ความพยายาม และบางทีอาจจะต้องใช้เงินด้วย ดังนั้น การตามหาคนที่เหมาะสม โดยเพียงแค่นั่งรอคอยนั้นจึงไม่เพียงพอ เนื่องจากการจะเจอคู่ที่เหมาะสมตามมีตามเกิดนั้นมีโอกาสเป็นไปได้น้อยมาก

๒. ความล้มเหลวเกิดขึ้นได้ (Shit happens.) และทำให้ความสัมพันธ์ก็จะสิ้นสุดลง ซึ่งบางครั้งก็เกิดจากปัจจัยภายนอก เช่น นายจ้างอาจประสบปัญหาในการบริหารจัดการ หรือแรงงานอาจประสบปัญหาสุขภาพ จึงทำให้ความสัมพันธ์ที่เคยมีประสิทธิภาพในครั้งหนึ่งก็จะไม่มีประสิทธิภาพ อีกต่อไป ไม่ต่างจากชีวิตคู่ที่อาจประสบปัญหาเมื่อเวลาผ่านไป และก็ไม่ได้มาจากตัวคนสองคนด้วย ความสัมพันธ์ที่เคยมีประสิทธิภาพจึงอาจไม่มีประสิทธิภาพอีกแล้ว ผลก็คือ ต่างฝ่ายต่างก็เริ่มต้นกระบวนการค้นหาใหม่ เพื่อให้ได้คู่ที่เหมาะสมต่อไป ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ

๓. เมื่อไรก็ตามที่โลกนี้มีคนที่เหมาะสมกับเรารออยู่ ความเป็นโสดก็จะดำรงอยู่เสมอ (In a world where there is a match for everyone, there will still be singlehood.) เมื่อการตามหางานที่เหมาะสมต้องอาศัยเวลา นั่นจึงเป็นเหตุผลที่การว่างงานของคนในสังคมจะมีให้เห็นอยู่ตลอดเวลา เช่นเดียวกันกับการตามหาคนที่เหมาะสมนั้นก็ต้องใช้เวลา และความล้มเหลวก็สามารถเกิดขึ้นได้เสมอ ซึ่งการตามหาคนใหม่ที่เหมาะสมก็ต้องใช้เวลาอีก ในสังคมจึงต้องมีคนโสดดำรงอยู่ ทั้งนี้ก็เพราะคนเหล่านั้นกำลังรอคนที่เหมาะสมนั่นเอง

๔. สำหรับคู่ที่กำลังเริ่มต้น การอยู่กับคนๆ นี้ต้องดีกว่าการอยู่เป็นโสด แต่การจะคบกันได้ตลอดรอดฝั่งนั้น การอยู่กับคนๆ นี้ต้องดีกว่าการอยู่กับคนอื่น (For a couple to form, both must be better off than when single. And for a couple to remain, both must be better off than with the next best alternative.) กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ คู่ที่ดีต้องเสริมกันและกัน (generate surplus) เช่น ต่างฝ่ายต่างมีความสุข และจะต้องมีความสุขมากกว่าค่าคาดหวังของการตามหาคนใหม่ด้วย ไม่ต่างไปจากความสัมพันธ์ระหว่างแรงงานกับนายจ้างที่ต้องได้ประโยชน์ร่วมกัน และต้องดีกว่าที่จะได้รับจากแรงงานหรือนายจ้างคนอื่นด้วย มิฉะนั้นการเปลี่ยนงานก็อาจเกิดขึ้นได้

๕. บางครั้งเราตกลงเป็นแฟนกับคนบางคน เพราะเหนื่อยที่ต้องรอคอย อย่าเชียว! (Sometimes, people settle because they are tired of waiting. Don’t!) เพราะมันจะกลายเป็นการจับคู่ที่ไม่ยั่งยืน (unstable match) และเท่ากับว่าเราทำลายโอกาสที่ดีกว่าที่กำลังจะมาถึง ไม่ต่างไปจากการตัดสินใจเซ็นต์สัญญาทำงานอะไรก็ได้ทั้งที่เราไม่ได้ชอบ แค่เพราะไม่อยากรอคอย ซึ่งงานใหม่ที่ดีกว่าจำนวนมากก็จะหายไปทันที

๖. ความพยายามในการค้นหาจะให้ผลดีกว่าถ้าเรามีตัวเลือกมากๆ (The search effort pays off more if there are many competing partners.) ประเด็นนี้เป็นจริงสำหรับชายหรือหญิงก็ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอัตราส่วนระหว่างเพศชายและหญิง (sex ratio) ของแต่ละสังคม ถ้าเพศใดมีจำนวนน้อยกว่า เพศนั้นก็มีแนวโน้มที่จะมีอำนาจเหนือกว่า นี่เป็นเหตุผลเดียวกับที่(โดยรวมแล้ว)นายจ้างมีอำนาจต่อรองในการจับคู่ มากกว่าแรงงาน ก็เพราะนายจ้างมีจำนวนน้อยกว่าแรงงานนั่นเอง

๗. บริษัทจัดหาคู่(หรือพ่อสื่อแม่สื่อ)จะทำให้เราเจอคนที่เหมาะกับเราเร็วขึ้น และลดช่วงเวลาของการเป็นโสดลง (Dating agencies bring people together more quickly and reduce the incidence of singlehood.) เช่นเดียวกับบริษัทจัดหางาน แต่เงื่อนไขก็คือบริษัทเหล่านี้ต้องอยู่ในตลาดแข่งขันด้วย มิฉะนั้นแล้วบริษัทเหล่านี้ก็จะไม่แสวงหาคู่หรืองานที่ดีพอมาให้เรา

๘. แฟนกันที่เข้ากันได้ดีจะนำไปสู่การแต่งงาน (The couples that form are best for the partners that make the proposal.) และความที่ผู้ชายเป็นคนเสนอขอแต่งงาน คล้ายกับนายจ้างที่เสมือนเป็นผู้เสนอสัญญาจ้างงาน ผู้ชายหรือนายจ้างจึงดูเหมือนว่ามีบทบาทมากกว่าในการสร้างความสัมพันธ์กับ ตัวผู้หญิงหรือแรงงาน ในโลกยุคใหม่ที่การคุ้มครองสิทธิแรงงานมีประสิทธิภาพ และสิทธิหญิงและชายเท่าเทียมกันนั้น ผู้หญิงก็ควรจะเป็นคนเอ่ยปากขอผู้ชายแต่งงานเพื่อรักษาดุลอำนาจของสิทธิเอา ไว้ได้อย่างชอบธรรมเช่นกัน อย่าไปกลัว

๙. ผู้หญิงจะได้ประโยชน์จากการแต่งงานมากกว่าผู้ชาย ถ้าเขาเรียนรู้ที่จะรอ (Women have a better outcome in marriage if they find a way to sweeten their wait.) สมมติว่าผู้ชายเป็นคนขอแต่งงานและผู้หญิงเป็นฝ่ายตอบสนอง บทบาทของผู้หญิงจึงไม่ต่างไปจากแรงงานในตลาดแรงงาน แต่แรงงานที่กำลังหางานที่เหมาะสมอยู่นั้น มีโอกาสที่ได้รับผลประโยชน์ในช่วงเวลาที่ว่างงาน (unemployment benefits) ซึ่งไม่สามารถหาได้ในช่วงเวลาที่มีงานทำแล้ว ในเชิงของการมีแฟน ผู้หญิงก็สามารถแสวงหาความสุขบางอย่างได้ในช่วงโสด ซึ่งทำไม่ได้ในเวลาที่มีแฟนแล้ว เช่น เมาท์กับเพื่อนบ่อยๆ ไปปาร์ตี้ทุกวัน ออกเที่ยวไม่กลับบ้าน เป็นต้น ซึ่งความสุขของคนโสดเหล่านี้จะช่วยยืดระยะเวลาการรอคอยออกไป ซึ่งเขาก็จะมีโอกาสได้เจอคู่ที่เหมาะสมมากขึ้น

๑๐. พวกเขาจะมีผลได้ที่ดีขึ้น ถ้าพวกเขาตกลงและบังคับใช้ข้อตกลงร่วมกันว่าอะไรคือสิ่งที่พวกเขาต้องการ (They also have a better outcome if they agree and enforce collectively what they expect.) นั่นคือ การทำตามข้อตกลงที่ได้เจรจาไว้ตั้งแต่ต้น จะช่วยให้แรงงานและนายจ้างอยู่กันไปได้นาน เช่นเดียวกันกับคู่หญิงชายที่มีการทำข้อตกลงสำหรับการใช้ชีวิตร่วมกันเอาไว้ ก่อนเช่นกัน
นัยทางนโยบายที่สำคัญมากของ DMP Model ยังมีอีกสองประการ หนึ่งคือ แบบจำลองยังช่วยอธิบายด้วยว่า ทำไมเมื่อเวลาที่เศรษฐกิจดี อัตราการมีงานทำจะค่อยๆ เพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ เนื่องจากทั้งแรงงานกับนายจ้างต้องใช้เวลาค้นหาซึ่งกันและกัน แต่เมื่อเศรษฐกิจเกิดวิกฤต นั่นคือมีปัจจัยภายนอกมากระทบ อัตราการมีงานทำกลับลดลงอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ก็เพราะผลิตภาพที่เคยมีในช่วงที่ผ่านมาอาจไม่เหมาะต่อกันอีกแล้ว (เช่น ค่าจ้างสูงไป จำนวนแรงงานในสายการผลิตมากเกินไป) นั่นคือ ในตลาดแรงงานมีความอสมมาตร (asymmetric) ของการเพิ่มขึ้นหรือลดลงของการมีงานทำ (ในอีกด้านหนึ่ง การว่างงาน) ดำรงอยู่ ดังนั้น การค้นหาใครสักคนจนเจอ จึงต้องใช้เวลา แต่บางครั้ง คนอื่น ปัจจัยอื่น หรือสิ่งอื่นๆ กลับสามารถเข้ามากระทบจนทำให้ความรักระหว่างคนสองคนล่มลงอย่างรวดเร็วได้

สองคือ ในตลาดแรงงานนั้น ค่าจ้างดุลยภาพในงานประเภทเดียวกันไม่ได้มีค่าเดียว แต่จะมีเป็นช่วง เช่น เงินเดือนวิศวกรไม่ได้อยู่ที่สี่หมื่นบาท แต่จะอยู่ที่สามถึงห้าหมื่นบาท เป็นต้น สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะแต่ละคนมีความอดทนหรือพยายามค้นหางานที่เหมาะสม ไม่เท่ากัน คนจำนวนหนึ่งจึงยอมรับงานที่ตนเองไม่ได้ชอบ เพราะไม่อยากต้องรอคอย ค่าจ้างจึงมีหลากหลายแล้วแต่ความอดทนของแต่ละคน ดังนั้น การมีแฟนของคนจำนวนมากจึงไม่มีความสุข หรืออาจมีความสุขไม่มากนัก ส่วนหนึ่งอาจจะมาจากเหตุผลมากมาย แต่อีกส่วนหนึ่งก็เพราะคนจำนวนหนึ่งนั้นมีแฟนเพียงเพราะไม่อยากเป็นโสด หรือคบกันเพียงเพราะไม่อยากรอคอย เท่านั้น

โดยสรุปก็คือ การค้นหาใครสักคนจนเจอ ต้องใช้ความอดทนและเวลา หากยังไม่เจอ แนวคิดของนักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบลเสนอแนะให้อดทนรอ ซึ่งอาจใช้ช่วงเวลาที่รอนี้หาความสุขตามประสาคนโสดไป แต่สำหรับคนที่เจอแล้ว แนวคิดนี้ก็ให้ระวังการมีคนอื่นหรือปัจจัยอื่นเข้ามากระทบ ซึ่งอาจสั่นคลอนความรักระหว่างคนสองคนได้ โดยอย่าลืมว่ามันเป็นเรื่องของคนสองคน อย่างน้อยเศรษฐศาสตร์ก็คงช่วยให้เราเห็นในอีกหลายมุม 

No comments:

Post a Comment