Sunday, November 18, 2012

สุขใจรายวัน กับ 9 สิ่งเล็ก ๆ ที่ทำให้ชีวิตของคุณแฮปปี้ขึ้น


ใครที่ใช้ชีวิตเก่ง ๆ จะรู้ว่า "ความสุข" ถือเป็นเกณฑ์การวัดความสำเร็จในชีวิตของคนคนหนึ่งได้ดีที่สุดแล้ว และหากสามารถทำให้คนรอบข้างมีความสุขไปด้วย ก็นับเป็นความสำเร็จในการมีความสุขแบบคูณสอง รับรองคุณจะยิ่งแฮปปี้เลยล่ะ ... แต่ว่าเรื่องนี้มันจะเป็นไปไม่ได้เลยนะ หากว่าคุณไม่เริ่มต้นด้วยการทำให้ตัวเองมีความสุขเสียก่อน


แหม พอฟังแล้วชักจะคิดหนัก ไอ้ชีวิตทุกวันนี้ก็นับว่าโอเคในระดับหนึ่งล่ะนะ แต่ถ้าถามว่าอยู่ในระดับที่เรียกว่า "แฮปปี้กับทุกวันของชีวิต" ไหม ก็ยังไม่ถึงขนาดนั้นหรอก แล้วพอเป็นเสียอย่างนี้ เรื่องจะไปทำให้คนรอบข้างมีความสุขตามไปด้วยนี่แทบจะลืมไปได้เลย จะทำยังไงให้เติมความสุขลงไปในชีวิตแต่ละวันได้บ้างหนอ แล้วขอแบบง่าย ๆ ไม่ยุ่งยาก ไม่ต้องขวนขวายมากน่ะ จะมีหรือเปล่า เพราะขอบอกว่าไม่ว่างพอที่จะลาพักร้อนไปเที่ยวเติมความสุขใหตัวเองหรอกนะ .. ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่คิดแบบนี้ล่ะก็ คงต้องลองสิ่งเล็ก ๆ ทำง่าย ๆ แต่เพิ่มระดับดีกรีความสุขในแต่ละวันได้ ลองดูคำแนะนำทั้ง 9 ข้อนี้ จาก inc.com ดูสิ น่าจะช่วยคุณได้นะ


1. เริ่มต้นวันใหม่ด้วยใจที่มุ่งมั่น "วันนี้ฉันต้องเจอเรื่องดี ๆ ชัวร์!"

แทนที่จะตื่นมา แคะขี้ตา แล้วอาบน้ำแปรงฟันเหมือนวันก่อน ๆ ลองเพิ่มหนึ่งกิจกรรมง่าย ๆ เข้าไปตอนตื่นนอน ให้บอกตัวเองดัง ๆ ว่า "วันนี้ฉันต้องเจอเรื่องดี ๆ ชัวร์ป้าบ" .. อ้อ แล้วไม่ใช่แค่บอกนะ ขอให้คุณ (พยายาม) เชื่อว่ามันต้องเป็นอย่างนั้นด้วย ความเชื่อแบบนี้แหละ ที่จะทำให้คุณสามารถมองเรื่องที่แสนจะธรรมดาสามัญ แบบที่เคยมองว่ามันเป็นอย่างนั้นในวันก่อน ๆ ให้กลายเป็นเรื่องพิเศษขึ้นมาได้ เป็นต้นว่า ซื้อข้าวมันไก่กินแล้ววันนี้ดันได้ไก่เพิ่มมาหนึ่งชิ้น เท่านี้ก็พิเศษแล้ว (ดูเพ้อเจ้อไปหน่อย แต่มันทำให้คุณมีความสุขได้ง่ายขึ้นจริง ๆ นะเออ)

2. วางแผนสิ่งที่จะทำและลำดับความสำคัญ

ที่มาชั้นเยี่ยมของความเครียดในแต่ละวัน (ซึ่งเป็นตัวการขัดขวางความสุขของเรา) คือ การที่แต่ละวันมีงานสุมหัว มีเรื่องให้ต้องจัดการสารพัดมากมายร้อยแปด เยอะจนไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนก่อนดี .. เอาล่ะ ใจเย็น ๆ นะ ค่อย ๆ พิจารณาความสำคัญของงานแต่ละชิ้นดูว่า อะไรควรทำก่อน-หลัง และที่สำคัญคือ สิ่งไหนจะทำให้คุณเขยิบเข้าใกล้เป้าหมายหรือความฝันของตัวเองได้มากขึ้นอีก นิด สิ่งนั้นแหละที่คุณควรจะให้ความสำคัญกับมันมากที่สุด จัดการเสียให้เรียบร้อย พอหมดวันรับรองว่าคุณจะยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับผลงานของตัวเอง

3. มอบของขวัญแก่ผู้คนที่พบในแต่ละวัน

เราไม่ได้พูดถึงของขวัญที่เป็นทางการแบบใส่ กล่องผูกโบนะคะ แต่เป็นของขวัญที่เรียบง่ายเปี่ยมด้วยความหมายดี ๆ จากตัวคุณเองต่างหาก ไม่ว่าจะเป็น รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ แชร์เรื่องขำขัน พูดให้กำลังใจ หรือแสดงความอ่อนน้อมถ่อมตนต่อผู้ใหญ่ ฯลฯ .. รับรอง สุขใจผู้ให้ ถูกใจผู้รับนะจ๊ะ

4. งดคุยเรื่องการเมือง - ศาสนา

มีบทสนทนาอยู่ 2 เรื่อง ที่ไม่ว่าจะถกเถียงอย่างไรก็ไม่เคยได้มาซึ่งคำตอบที่ถูกต้องที่สุด นั่นก็คือเรื่อง "การเมือง" กับ "ศาสนา" เถียงกันมาตั้งไม่รู้กี่สิบปี (บางกรณีอาจถึงขั้นร้อย หรือนานกว่านั้นเยอะเลยล่ะ) ก็ไม่เห็นจะได้คำตอบดี ๆ ที่ทำให้คนสองฝ่ายเข้าใจตรงกันได้สักครั้ง แถมมีแนวโน้มว่ายิ่งเถียงกันนานก็ยิ่งทวีความรุนแรงด้วย หากรู้ตัวว่ากำลังเพลี่ยงพล้ำตกลงไปอยู่ในวังวนของบทสนทนาแบบนี้เมื่อไหร่ ขอบอกว่ารีบถอนตัวออกมาซะยิ่งเร็วยิ่งดี เดี๋ยวจะพาลหงุดหงิด เสียสุขภาพจิตเอาได้ง่าย ๆ

5. คิดไว้ก่อนว่าใคร ๆ ก็มีเจตนาดี

ตราบเท่าที่เราไม่สามารถอ่านความคิดของคนอื่นได้ ก็ไม่มีทางรู้ถึงเหตุผลที่แท้จริงได้หรอกว่า เหตุผลหรือเจตนาเบื้องหลังการกระทำของคนคนหนึ่งนั้นคืออะไร แล้วการไปตีความดักหน้า ว่าที่ใครคนหนึ่งทำอะไรแปลก ๆ ให้คุณรู้สึกตะหงิดใจ จะต้องมีเจตนาไม่ดีแน่ ๆ นั่นจะกลายเป็นการผลักตัวคุณเองลงไปจมจ่อมอยู่กับความทุกข์ ความไม่สบายใจนานาประการ พลิกความคิดนิดหน่อย เปลี่ยนเป็นบอกตัวเองว่า "เขาน่าจะมีเจตนาดีแหละนะ" จะทำให้ใจคุณเบาหวิวขึ้นเยอะ และท้ายที่สุด ต่อให้เจตนาของเขาไม่ได้ดีอย่างที่คุณคาดหวังเอาไว้ ก็ยังทำให้คุณพร้อมที่จะปล่อยผ่านไป ไม่เก็บความไม่สบายใจไว้กับตัวด้วย

6. ละเลียดของอร่อย

ต่อมรับรสทำงานประสานกับความรู้สึกมีความสุข โดยตรงเลยนะขอบอก เครื่องดื่มเย็น ๆ สักแก้ว ขนมเค้กเล็ก ๆ สักชิ้น ช็อกโกแลตคุณภาพดีสักแท่ง ก็ทำให้วันของคุณสว่างสดใสได้แล้วล่ะ นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมร้านเค้ก หรือว่าร้านกาแฟ จึงเปรียบเสมือนแฮปปี้ สเตชั่น ประจำวันของหลาย ๆ คน :)
  


7. เลิกกังวลถึงสิ่งที่ผ่านไปแล้ว

อีกหนึ่งศัตรูตัวร้ายที่คอยขัดขวางไม่ให้คุณมี ความสุข ก็คือ "ความกังวล" อันเป็นสิ่งที่เกิดจากการเอาใจไปผูกติดกับสิ่งที่คุณไม่สามารถควบคุมได้ โดยเฉพาะสิ่งที่ล่วงผ่านไปแล้ว ไม่ว่าผลของมันจะแย่ หรือไม่น่าพอใจแค่ไหน คุณก็ไม่สามารถกลับไปแก้ไขอะไรได้ กังวลไปก็เท่านั้น จะพาลให้วันทั้งวันของคุณไม่มีความสุขไปเปล่า ๆ ตั้งสติกลับมาใส่ใจกับสิ่งที่กำลังทำอยู่ในปัจจุบันดีกว่านะ ทำให้ดีที่สุด ผลของการกระทำที่จะเกิดขึ้นต่อไปจะได้ไม่ต้องมีอะไรให้เป็นกังวลอีก

8. เลิกเปิดทีวีไว้เป็นเพื่อน

ดูท่านี่จะเป็นนิสัยประจำตัวของหลาย ๆ ที่เมื่อถึงบ้านปุ๊บ ก็ต้องเปิดทีวีปั๊บ แล้วตัวเองก็ทำโน่นทำนี่ไปเรื่อยตามปกติ แล้วการเปิดทีวีทิ้งไว้เป็นเพื่อนนี่มันทำให้คุณไม่ฟีลกู้ดยังไงน่ะหรือ .. ตัวอันตรายอยู่ที่ช่วงโฆษณาทั้งหลายนั่นไงล่ะ มาอวดสรรพคุณว่าอันนั้นดี อันนี้เจ๋ง ที่นู่นกำลังลดราคาหากพลาดไม่ได้มาจะเสียใจ หรืออะไรทำนองนี้ สิ่งเหล่านี้มันเร้ากิเลสในใจให้ลุกโชน การความรู้สึกอยากมีอยากได้อยากเป็นเจ้าของ ซึ่งมันไม่ได้ทำให้จิตใจสงบมีความสุขเลย

9. บันทึกสิ่งดีของวันนั้นก่อนเข้านอน

ก่อนจะล้มตัวลงนอน คว้าไดอะรี่พร้อมปากกาขึ้นมาหนึ่งแท่ง เขียนสิ่งที่ทำให้คุณรู้สึกดีในตลอดวันนี้ลงไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใหญ่อย่างเจ้านายอนุมัติเลื่อนตำแหน่ง หรือเรื่องเล็กกระจิริด อย่างกดลิฟต์ให้คนที่กำลังหอบของเต็มสองมือ ไม่ว่ามันจะใหญ่หรือเล็กขนาดไหน แต่มันก็เป็นเรื่องสำคัญที่ดีที่สุดของวันนั้น อ่านแล้วก็อดยิ้มกริ่มตามไปไม่ได้ว่าวันนี้ก็มีเรื่องดี ๆ เกิดขึ้นกับเราเหมือนกันนะ แล้วยิ่งได้บันทึกเอาไว้หลายวัน เมื่อมาอ่านย้อนหลังแล้วคุณจะยิ่งรู้สึกว่า ชีวิตเรานี้ช่างมีความสุขเหลือเกิน มีแต่เรื่องดี ๆ เกิดขึ้นทุกวันเลย ..แล้วอย่างนี้จะไม่ให้มีความสุขกับทุก ๆ วันของชีวิต ทั้งวันนี้และวันต่อ ๆ ได้อย่างไรกันล่ะนี่ ^___^

นิทานเซน : ความกังวลของหญิงชรา

ในระหว่างที่อาจารย์เซนออกจาริกธรรม ได้รับนิมนต์ไปพำนักยังบ้านของหญิงชราผู้หนึ่ง ทว่าเมื่อไปถึงพบว่าหญิงชราหน้าตาอมทุกข์ ทั้งยังร้องไห้ไม่หยุด อาจารย์เซนจึงกล่าวกับนางว่า "ท่านมีความทุกข์ใจอันใดจึงร้องไห้ติดต่อกันไม่หยุดเช่นนี้?"

หญิงชราตอบว่า "ข้ามีบุตรสาวอยู่สองคน คนโตแต่งออกไปให้กับพ่อค้าขายรองเท้าผ้า ส่วนคนเล็กแต่งให้กับพ่อค้าขายร่ม วันใดท้องฟ้าปลอดโปร่ง แดดจ้า ข้าก็เฝ้าแต่กังวลว่าร้านขายร่มของบุตรสาวคนเล็กต้องขายไม่ได้เป็นแน่ จึงอดไม่ได้ที่จะทุกข์เศร้าแทนนาง แต่หากวันใดฟ้าครื้ม ฝนพรำ ข้าก็กังวลว่ากิจการร้านรองเท้าผ้าของบุตรสาวคนโตย่อมไม่ดีเป็นแน่ เพราะผู้คนไม่อยากใส่รองเท้าที่เปียกน้ำแฉะชื้น เมื่อทุกวันผ่านไปในลักษณะนี้ ข้าจึงได้แต่กังวลจนหลั่งน้ำตาออกมา"

เมื่ออาจารย์เซนได้ฟังจึงกล่าวว่า "ที่แท้เป็นเช่นนี้ ท่านคิดแบบนี้ย่อมไม่ถูกต้องแล้ว"

หญิงชราสงสัยจึงถามว่า "มารดาวิตกกังวลแทนบุตร มีอันใดไม่ถูกต้อง? ข้ารู้ว่ากังวลไปก็แก้ไขอะไรมิได้ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะคิดเป็นห่วงพวกนาง"

ยามนี้ อาจารย์เซนจึงกล่าวว่า "มารดาวิตกกังวล เพราะบุตรมิใช่เรื่องผิด แต่มารดาเบิกบานใจเพราะบุตรย่อมดีกว่า ท่านลองคิดดู เมื่อวันแดดจ้าฟ้าใส ร้านรองเท้าผ้าของบุตรสาวคนโตของท่านย่อมขายดิบขายดีเป็นพิเศษ และเมื่อถึงวันฝนตก กิจการร้านขายร่มของบุตรสาวคนเล็กก็ย่อมไปได้สวยเช่นกัน หากคิดเช่นนี้ท่านก็สามารถเบิกบานใจไปกับบุตรสาวทั้งสองได้ในทุกๆ วัน ไม่ต้องทุกข์เศร้าแล้ว"

เมื่อหญิงชราได้ฟังคำแนะนำของอาจารย์เซน ก็กระจ่างแจ้ง จากนั้นเมื่อคิดได้จึงรู้สึกสบายใจ ทุกครั้งที่นึกถึงบุตรสาวทั้งสอง นางล้วนมีรอบยิ้มแห่งความสุขประดับบนใบหน้าเสมอ

ปัญญาเซน : ไม่มีปัจจัยใดที่ทำให้คนเรามีความทุกข์ได้เท่ากับตัวของตัวเอง สุข-ทุกข์อยู่ที่ใจ เมื่อเปลี่ยนมุมมองความคิดก็เปลี่ยนได้แม้เป็นเรื่องเดียวกัน เพราะอีกด้านของความทุกข์ก็คือความสุข ไม่ว่าเรื่องใด เมื่อมองให้ทุกข์ย่อมทุกข์ได้ มองให้สุขย่อมสุขได้ ดังนั้นจงหยุดสร้างทุกข์ให้กับตนเอง

Sunday, November 11, 2012

นิทานเซน : คนตาบอดกับโคมไฟ

ยังมีตรอกสายหนึ่งที่ทั้งมืดทั้งแคบ ทั้งยังไม่มีดวงไฟส่องทางให้ความสว่างแม้แต่น้อย ดังนั้นเมื่อถึงยามค่ำคืน การเดินทางในตรอกแห่งนี้จึงเป็นไปด้วยความยากลำบาก

คืนวันหนึ่ง มีพระรูปหนึ่งเดินผ่านเข้ามายังตรอกดังกล่าวเพื่อมุ่งหน้าไปยังอาราม ทว่าด้วยความที่ตรอกนี้มืดมิดกระทั่งนิ้วมือทั้งห้าของตนเองยังไม่อาจมอง เห็นได้ เมื่อเดินไปเรื่อยๆ พระรูปนี้จึงทั้งเดินไปชนผู้อื่น และถูกผู้อื่นเดินมาชนไม่หยุดหย่อน สร้างความลำบากยิ่งนัก

ในตอนนั้นเอง มีคนผู้หนึ่งถือโคมไฟเดินเข้ามายังตรอกดังกล่าว พลันทำให้ในตรอกเกิดแสงสว่างขึ้นพอสมควร พระรูปนั้นได้ยินคนเดินผ่านทางกล่าวว่า "คนตาบอดผู้นั้นช่างแปลกนัก ตนเองมองไม่เห็นแท้ๆ ใยต้องถือโคมไฟให้วุ่นวาย" เมื่อพระได้ยินก็รู้สึกแปลกใจ รอจนกระทั้งคนตาบอดถือโคมไฟคนนั้นเดินผ่านมา จึงเอ่ยถามขึ้นว่า "ขออภัย ท่านตาบอดจริงๆ หรือ?"

คนผู้นั้นตอบว่า "ถูกแล้ว ข้าเกิดมาก็พิการ ตาสองข้างมองไม่เห็น สำหรับข้านั้นไม่ว่าจะยามเช้าสายบ่ายเย็นล้วนไม่ต่างกัน ทั้งยังไม่ทราบว่าแสงสว่างหน้าตาเป็นเช่นไร"

พระได้ยินดังนั้นก็ยิ่งงุนงงมากขึ้น เอ่ยถามต่อไปว่า "เช่นนั้นท่านจะถือโคมไฟไปเพื่ออะไร?"

คนตาบอดตอบว่า "เนื่องเพราะข้าเคยได้ยินคนพูด กันว่าในยามกลางคืนไร้แสงสว่าง คนตาดีทั้งหลายก็เป็นเช่นเดียวกับข้าคือมองไม่เห็นสิ่งใด ดังนั้นข้าจึงถือโคมไฟไปไหนมาไหนเสมอ"

พระได้ยินดังนั้นก็เกิดความซาบซึ้งใจ เอ่ยคำ อมิตาพุทธออกมา และกล่าวต่อไปว่า "ท่านช่างมีเมตตาธรรม ห่วงใยเพื่อนมนุษย์"

มิคาดคนตาบอดกลับกล่าวว่า "ผิดแล้ว ข้าทำไปเพื่อตัวเอง"

"ทำเพื่อตัวเองอย่างไร?" พระถามต่อด้วยความสงสัยใจ

คนตาบอดอธิบายว่า เมื่อครู่ท่านเดินอย่างมืดมนในตรอกใช่โดนคนเดินสวนไปมาชนเอาหรือไม่ ท่านดูข้าเองนั้นแม้เป็นคนตาบอด แต่ข้าไม่โดนผู้อื่นเดินชนเลยแม้แต่ครั้งเดียว ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนข้าก็เป็นเช่นเดียวกับท่านคือโดนคนเดินมาชนเอาบ่อยครั้ง แต่เมื่อข้าถือโคมไฟทุกอย่างก็เปลี่ยนไป ที่ข้าจุดโคมไปไหนมาไหนด้วยนั้นข้าจุดเพื่อให้แสงสว่างกับผู้อื่น และเพื่อให้ผู้อื่นมองเห็นตัวข้า ตังแต่นั้นมาข้าก็ไม่โดนผู้ใดเดินชนอีกเลย


ปัญญาเซน : การช่วยเหลือผู้อื่น ประโยชน์สูงสุดล้วนกลับคืนมาสู่ผู้ให้