Thursday, November 26, 2009

เด็กซิ่งอิง... ธรรมะ อุดม แต้พานิช [ตำนาน นิทาน เรื่องเล่า]


[เรื่องเล่า ข้อคิด โน๊ต อุดม]

เมื่อเดือนธันวาคม
2551 ผ่านไปแถวร้านหนังสือ เห็นนิตยสาร Secret หน้าปกเป็นรูป

อุดม แต้พานิช รีบพลิกเข้าไปภายใน อยากรู้ว่าอุดมจะพูดเรื่องอะไรนะ ผมว่า
วิชาสำคัญที่สุดในการเกิดเป็นมนุษย์ คือ วิชาพุทธศาสนา สำคัญกว่าวิชาอื่นที่มนุษย์ทั้งโลกเรียนอยู่ด้วยซ้ำ
[ ...ฮ่า... พูดได้ไง ]
นิตยสารที่นำพุทธศาสนามาย่อยให้อ่านง่าย ปกติหนังสือแนวนี้มีพระทั้งเล่ม หรือ มีตัวหนังสือเยอะมากๆ ทำให้คนยุคนี้เห็นเป็นของยาก แต่ Secret ทำให้เป็นของง่าย
[ ...เอ... สนใยธรรมะด้วยหรือ.... ] ความสำเร็จในการทำเดี่ยวไมโครโฟน คือ สมาธิ[ ... ยังไงล่ะนี่ ... ] กำลังกายเกิดจากการเคลื่อนไหว กำลังใจเกิดจากการหยุด[ ... นั่น ... ]

คนเราถ้าไปนึกถึงอะไร ไอ้สิ่งนั้นจะโต เหมือนไปให้อาหารมัน ถ้านึกถึงความดี ความดีก็จะโต แต่ถ้านึกถึงบาป บาปก็จะโต [... ว้าว . ช่างอุปมาอุปไมยนะโน้ต ... ]
ตอนนั้นบวชเพราะอะไรครับ เกเรครับ เกเรมากจนไม่มีใครเอาเลย แม่เอาไปฝากเลี้ยงบ้านญาติ ญาติก็ไม่เอาเพราะไปขโมยสตางค์เขา กล้าบอกเลยว่าชีวิตของตัวเองเปลี่ยนแปลงได้เพราะได้พบพระพุทธศาสนา ทุกวันนี้เวลาผมอธิษฐาน ผมจะขอทุกครั้งว่า ขอให้ได้เกิดและได้บวชในพระพุทธศาสนาอีกทุกชาติ ขอให้ได้ศึกษาธรรมของพระพุทธเจ้าของแท้ หลังบวชเณรทัศนคติผมเปลี่ยนไปเลย ญาติเห็นแล้วแปลกใจกันหมด แม่ก็งง[ .... ท่านกล้าเผย เรากล้าอ่าน ... ]
อะไรทำให้เด็กเกเรคนหนึ่งเปลี่ยนไปได้ขนาดนั้น ....
[... ตัดสินใจซื้อหนังสือเล่มนี้ เพราะเกรงเจ้าของร้านจะมองหน้า ที่สำคัญเราอยากอ่านต่อ ... ]

อ่าน Secret จบแล้ว ยังมีคอลัมน์ที่น่าสนใจ แล้วเราก็ส่งให้เพื่อน ๆ อ่านต่อ เพื่อนซี้บอกว่า สนใจเรื่องโน้ตบวชหรือ
?... โน้ตเคยพูดให้น้อง ๆ นักศึกษาฟัง น่าสนใจ จะไปค้นก่อนนะว่าซีดียังอยู่หรือเปล่า


ศาสนาไม่มีจริง
ผมเองเคยคิดว่าศาสนาไม่มีจริง คิดตามความโง่เขลาในวัยโน้น จะมีพระพุทธศานาได้อย่างไร จะมีพระพุทธเจ้าได้อย่างไร คิดว่าทุกเรื่องเป้นนิทานแต่งขึ้นให้คนกลัวบาป ใช้แทนกฎหมายในยุคสมัยโน้น จึงไม่เชื่อเรื่องบุญบาป นรกสวรรค์ คิดดูแคลนว่า ถ้าอยากให้เชื่อก็ไปจับตัวบุญ ตัวบาป มาให้ดูซิ


มิจฉาทิฐิ
เห็นผิดเป็นชอบ

คำว่ากรรม ยิ่งไม่เชื่อหนัก เพราะเกิดแล้วก็ตายหมดในชาตินี้ คนเราก็เหมือน แบคทีเรีย ที่เกิดมาและตายไป ฉะนั้นอยากทำอะไร ก็จงทำไป ตามใจของเรา
พอมีความคิดเป็นมิจฉาทิฐิ คือ เห็นผิดเป็นชอบ
เวลาทำอะไรไป จึงไม่คิดถึงใจคนอื่น และไม่คิดกังวลหรือกลัวว่า สิ่งที่เราทำ ... จะผิดหรือไม่ผิด
เป็นความมั่นใจแบบโง่ ๆ แต่ไปคิดว่าถูกและเท่ห์
ในช่วงเรียนมัธยมผมเป็นคนมีนิสัยลักเล็กขโมยน้อย อะไรที่ขโมยได้ ก็จะขโมย ตอนนั้นเด็กวัยรุ่นแถวบ้านผม ส่วนใหญ่มีจักรยาน BMX แต่บ้านผมไม่มี เพราะแม่ขายส้มตำ เรียกว่าจน
อยากได้จักรยานก็ต้องขโมยเอา เคยร่วมมือกับเพื่อนที่เป็นจิ๊กโก๋ไปขโมยจักรยานอีกโรงเรียนหนึ่ง พอขโมยแล้ว ไม่เคยสนใจว่าเด็กเจ้าของจักรยานคนนั้น จะเดือนร้อนหรือไม่อย่างไร

สำหรับพระ
เวลามองดูพระ ก็ไม่เคยเคารพพระ ตอนนั้นคิดแต่เพียงว่า พระก็เป็นอาชีพหนึ่ง แค่นั้น


หลงทาง เพราะตั้งหางเสือผิด
พอเราคิดแบบนี้การกระทำของเราก็ไปอีกอย่างหนึ่ง หางเสือ พอตั้งผิด ก็ผิดทาง เหมือนเวลาเราหลับตาดำน้ำ ใจคิดว่ากำลังขึ้นผิวเบื้องบน แต่จริงๆ ดำดิ่งลงเบื้องล่าง
ชีวิตผมตอนนั้นก็เป็นไปตามทัศนคติ มีแต่ปัญหา เรื่องปวดหัว ชีวิตสับสนวุ่นวาย ไม่มีหลัก
คิด ไม่รู้จะแก้ปัญหาในชีวิตอย่างไร




มรสุมชีวิตเข้ารุมเร้า

จุดเปลี่ยนชีวิต คือ หนีออกจากบ้าน พอเรามีตวามคิดผิด เราก็ไม่รักแม่
แม่อะไร ... ขอเงินก็ไม่ได้จักรยานก็ไม่ได้เหมือนคนอื่นๆ แบบเรียนก็เป็นมือสอง ทำไมครอบ
ครัวเราจนแบบนี้ เกิดเป็นลูฏแม่คนนี้ มีแต่ลำบาก ลูกคนอื่นทำไมสบาย

วันหนึ่งขโมยเงินแม่ทั้งหมด แล้วหนีออกจากบ้าน ไปอยู่กับญาติที่ ชลบุรี พอไปเจอญาติ ก็
ใส่ร้ายแม่ตัวเองว่า แม่ทรมานเรา เลี้ยงเราไม่ดี เราจึงหนีมา

ญาติก็หาโรงเรียนให้เรียนด้วยความสงสาร อยู่กับญาติไปสักพัก ไปทำความเดือนร้อน
ให้ญาติ

ด้วยนิสัยไม่เชื่อในเรื่องบาปบุญคุณโทษ ไม่เรียนหนังสือโดดเรียน เล่นไพ่ในห้อง เที่ยวเตร่
คบเพื่อนชั่ว ญาติก็เอือม

จนวันหนึ่งเรียน ปวช ปี 1 มันเอือมตัวเองมากจนไม่ไหว ไปขโมยเงินครั้งสุดท้าย แล้วเขาจับได้ตอนขโมยพอดี ญาติก็ไม่เอาเราแล้ว เราก็เซ็งตัวเอง คือ ไม่รู้จะไปไหน จิตใจไม่มีที่พึ่ง ที่เราจะพึ่งตัวเอง นับถือตัวเอง มันไม่มีอะไรน่านับถือ เรียนที่โรงเรียน โรงเรียนก็ร่ำๆ จะให้พักการเรียน

เผอิญมีคนชวนไปนั่งสมาธิที่วัดบึงบวรสถิต อ.บ้างบึง จ.ชลบุรี ช่วงเวลา 18.30 – 19.30 น. ก็ไปกับเขา ที่ไปนั่งเพราะไม่รู้จะทำอะไร
ก็ไปอย่างนั้นเอง สมาธิคืออะไรก็ไม่รู้จัก พระท่านสอนนั่งสมาธิ แต่เราไม่นั่ง กลับลืมตาดูคนนั่งหลับตา และขำคนนั้น คนนี้ ที่นั่งหลับสัปหงก


ไปวัด เพราะไม่มีที่ไป

ตอนนั้นไปทุกวัน ไม่ใช่เป็นคนดี ไม่ได้เลื่อมใส แต่เพราะไม่มีที่ไป พอตอนเลิกเขาจะแจกน้ำปานะด้วย เราก็พลอยได้กินไปด้วย

อยากบอกว่า
มนุษย์เราโดยทั่วไป โดยจิตลึกๆ โหยหาความดีงาม ชอบสิ่งดีงามอยู่แล้ว ไม่ว่าเป็นโจร หรือมหาโจรก็ตาม ก็แสวงหาสิ่งที่ดีงาม เช่น เวลาเราเห็นใครสักคนจูงคนแก่ข้ามถนน
เรายังรู้สึกดี ผมไปเห็นเขาพับเสื่อที่วัดนี้ เขาช่วยกัน เขายกมือไหว้กันที่วัด พูดจาไพเราะ ผมเห็นก็รู้สึกดี



คบบัญฑิต บัณฑิตพาไปหาตัวเอง

เขาอนุโมทนาบุญกันแรก ๆ ก็งง งงไปสักพักก็หัดทำบ้าง ก็รู้สึกว่าดี ได้รวมยินดีกับคนอื่นที่ทำความดี คือ เหมือนกับธรรมชาติและสภาพแวดล้อมได้บำบัดเรา ระหว่างนั้นเราได้ยินเขาพูด เรื่อง บุญเรื่องบาป เหมือนเราไม่เชื่อ แต่ก็เริ่มซึมซับ ผมก็เริ่มนั่งบ้าง จากเริ่มนั่งสมาธิ แม้เริ่มนั่งจะไม่เห็นอะไร แต่พอใจสงบแล้วจะเห็นตัวเอง จะเห็นความไม่ดีของตัวเอง
อุปมาเหมือนจิตใจของคนเรา คือ เรา ตักน้ำมาจากคลองแสนแสบ ใจเราจะเหมือนอย่างนั้น คือ มีปัญหาความรัก การเงิน การงาน เราเกลียดคนนั้นคนนี้ มีเรื่องสารพัด ใจเราจะเต็มไปด้วยเรื่องราวหมักหมม

แต่พอทำสมาธิผ่านไป ใจจะนิ่ง เหมือนเราตักน้ำขึ้นมา ธรรมชาติมันจะตกตะกอน
ใจเราเมื่อตกตะกอน จะมีความใสเหมือนผิวน้ำ
แล้วเห็นอะไรต่ออะไร อย่างน้อยก็เห็นตัวเอง

[เรื่องเล่า ข้อคิด โน๊ต อุดม]


ตอนนั้นก็เริ่มรู้สึกว่าไปวัดแล้วสนุกดี ว่างๆ ก็เดินตามพระไปบิณฑบาต

ที่วัดนี้เขาเปิดเทปธรรมะระหว่างฉัน และเทปนั้นเป็นเทศน์ เรื่องมงคลชีวิต 38 ประการ ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าคืออะไร บางวันที่ฟังก็ตรงกับชีวิตของเรา ก็ค่อย ๆ เอาธรรมะที่ฟังมาปรับใช้ในชีวิตตัวเอง
ช่วงนั้นเราได้รับธรรมะ เหมือนเราได้รับ Moisturizer จากผิวชั้นบน จนถึงผิวชั้นล่าง เราเห็นพระ หรือแม่ชี หน้าท่านจะใสสว่างโดยไม่ต้องใช้ครีมไวท์เทนนิ่งใด ๆ ความสว่างนั้นเกิดจากจิตใจที่เบิกบานจาก.ธรรมะนี่เอง


สิ่งที่เราไม่รู้ ไม่ได้แปลว่าไม่มี
เผอิญเขามีการบรรพชาสามเณร ผมก็สมัครกับเขาสักหน่อย ได้เริ่มห่มผ้า
เดินบิณฑบาต สนุกดี ศีลของเณรไม่เยอะมาก แต่เป็นการเริ่มต้นกรุยทางพระพุทธศาสนาอย่างดี

ตอนนั้นก็เริ่มคิดแล้วว่า บุญบาปมันน่าจะมี กรรมก็น่าจะมี ทั้งที่ยังไม่เชื่อทั้งร้อย ดูเหมือนมันมีบางสิ่งบางอย่างที่เราไม่รู้ประกอบกับพระหลายท่านเทศน์ว่า สิ่งที่เราไม่รู้
ไม่ได้แปลว่ามันไม่มี

เหมือนคนตาบอด ถ้าเราไปบอว่ามีสัตว์รูปร่างคล้ายจิ้งจก ชื่อ อีกัวน่า ตัวใหญ่ สีเขียว แผ่คอได้ด้วย คนตาบอดบอกไม่เชื่อ ไม่มี ที่พูดแบบนั้นเพราะเขาไม่เคยเห็น
การไม่เคยเห็น ไม่ใช่ว่ามันไม่มี
เหมือนบุญบาป
ที่เราไม่เคยรู้ไม่เคยเห็น แต่ไม่ใช่ว่ามันไม่มี เพียงแต่ว่าปัญญาของเราเป็นแบบทางโลก เราจึงไม่รู้

บาปกรรมที่เราไม่เคยเห็น
ไม่ได้หมายความว่าไม่มี



เปลี่ยนความคิด ชีวิตผันเปลี่ยน
ผมได้บวชเณรและสึกออกมาเรียนต่อ ใน ช่วงที่ออกมา ผมรู้ได้เลยถึงสภาพแวดล้อมรอบตัว ตั้งแต่ญาติพี่น้อง เพื่อน มีความรู้สึกต่อเราเปลี่ยนไป เหมือนเราได้รับความรักจากคนรอบข้างมากขึ้น เรารู้สึกว่าเราไปเจอสิ่งดีๆ มา ส่วนเพื่อนชั่วๆ ก็ค่อยๆ หายไป และพบว่า คนเรากำหนดตัวเองได้ เช่นถ้าเราเสพยาบ้า เพื่อนยาบ้าก็เข้ามาแล้ว เราเป็นคนแบบไหน ก็ถึงดูดคนแบบนั้นเข้ามา
แล้วผมมีโอกาสมาเรียนต่อที่เพาะช่าง กรุงเทพฯ ช่วงนั่นผมไปวัดปากน้ำ ไปไหว้พระบ้าง
ไปนั่งสมาธิบ้าง อยู่ๆ ก็รักหลวงพ่อวัดปากน้ำขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว รู้สึกว่าชอบวิธีการสอนนั่งสมาธิของท่าน ซ่งเป็นวิธีที่สะดวกกับจริตของผม บางคนชอบเพ่งกสิณ บางคนชอบจงกรม บางคนชอบกำหนดลมหายใจ แต่ละคนจะชอบไม่เหมือนกัน แล้วแต่จริตใคร

ใกล้เรียนจบ ผมมีโอกาสได้ไปทำงานกับสำนักพ์แห่งหนึ่ง อยู่แถวบางกะปิ ทำหน้าที่เป็นฝ่ายศิลป์ของเขา ช่วยนั้นมีเพื่อนชวนไปใส่บาตรที่ชมรมพุทธฯ มหาวิทยาลัยรามคำแหง และเป็นเรื่องบังเอิฐที่พระที่มาบิณฑบาตสอนสมาธิแบบหลวงปู่ วัดปากน้ำ ทำให้เราไปเรื่อยๆ
ไปจนตรงกับช่วงที่เขารับสมัครอุปสมบทภาคฤดูร้อน ตอนนั้นคิดว่าอย่างไรก็คงบวชไม่ได้ เพราะติดงานของสำนักพิมพ์แต่ไม่รู้เป็น เพราะอะไรรู้สึกอยากบวชเป็นพระมาก ๆ



3 อยากนี้ ที่ทำให้มาบวช
ที่อยากบวขก็เพราะว่า หนึ่ง คือ อยากทำอะไรให้แม่บ้าง ตั้งแต่เป็นเด็กจนโตมา ผมมีแต่เรื่องทำให้ท่านปวดร้าวทั้งนั้น คิดในใจว่าจะมีอะไรที่ทำให้ผู้หญิงคนนี้ได้บ้างใจคิดอยากทำอะไรให้เขาชื่นใจ ก่อนที่เขาจะตาย
สอง คือ อยากฝึกตนเอง ให้เป็นคนที่เข้าท่ากว่าที่เป็นอยู่ และ สาม คือ
อยากพิสูจน์ว่าพุทธศาสนาเป็นอย่างไร
เราเป็นชาวพุทธแต่ในทะเบียนบ้านเท่านั้น แต่จริงๆ ไม่เคยรู้เลยว่าพุทธศาสนาเป็นอย่างไร
สามอย่างนี้
ทำให้เกิดความรู้สึกอยากบวชมาก ๆ

เพื่อนผมจึงแนะนำให้ผมอธิษฐานจิต
ผมอธิษฐานจิตบ่อยๆ หลังจากนั้น
ไม่เกิน 7 วัน เจ้าของบริษัทมาบอกว่า
ไม่ต้องทำหนังสือแล้ว เราจะปิดบริษัท

เขานึกว่าผมจะเสียใจ ในใจผมนี้ ไชโย คิดว่า

'แหม.... เราจะได้บวชคราวนี้เองสมปรารถนาแล้ว'

สมาธิเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้ผมจำได้
ผมอยากบอกว่าสมาธิเป็นสิ่งสำคัญ การทำเดี่ยวไมโครโฟน 3 หรือ 4 ชั่วโมง ต้องอาศัยสมาธิ สมาธิเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้ผมจำได้ ผมเองไม่ได้อยากมีภาพลักษณ์คล้ายกับว่าโน้ตเป็นคนดี .... โน้ตใจบุญสุนทาน... นั่งสมาธิเป็นประจำ... โอ้.. โน้ตรักทุกคนไม่อยากเป็นอย่างนั้น แค่เป็นตูดหมึกธรรมดา แต่ผมอยากบอกว่า
สมาธิเป็นเคล็ดลับจริง ๆ ในการดำเนินชิวิต
ซึ่งเรื่องประโยชน์ของสมาธินี้ โน้ตก็เคยให้สัมภาษณ์ไว้ใน Secret ฉบับเดือนธันวาคมว่า
“.... ความสำเร็จในการทำเดี่ยวไมโครโฟน คือ สมาธิ ลำพังตัวผมเองไม่มีปัญญาจำอะไรได้เยอะขนาดนั้นหรอก แต่ผมเคยบวชมาก่อน เวลาต้องการลำดับความคิด หรือคิดอะไรไม่ออก ผมจะนั่งสมาธิ นั่งแค่ช่วงสั้นๆ ก็ช่วยได้
การทำเดี่ยวฯ เต็มไปด้วยปัญหา ผมไม่ได้แค่เขียนบทอย่างเดียว แต่เป็นทั้งผู้แสดง
และทำโปรดักชั่น พอถึงช่วงเขียนบทซึ่งเป็นหัวใจของการทำเดี่ยวฯ สมาธินี่แหล่ะช่วยแยกแยะว่าควรทำอะไร ไม่ควรทำอะไร ก่อนเขียนบททุกครั้ง ทีมงานรู้ว่าผมจะหายตัวไปนั่งสมาธิ ไม่ได้ไปนั่งเขียนบท แต่ไปนั่งนิ่งๆ ผมเชื่อว่า

กำลังกายเกิดจากการเคลื่อนไหว …. กำลังใจเกิดจากการหยุด

นึกถึงเมื่อไร ก็สุขใจ ที่เคยได้เป็นพระ
ผมรู้สึกตื่นเต้นเร้าใจ ที่จะได้ห่มผ้าเหลือง จะได้เป็นพระ และจะมีแม่เรา ที่เราบวชให้เขา และที่เราทุ่มเทฝึกตัวเองมา คือ ทำให้แม่ได้ บวชให้แม่ได้
ถ้าถามว่าทำไมต้องฝึกตัวหนักอย่างนี้ด้วย
พระอาจารย์ก็จะตอบว่าต้องทำตัวเองให้รู้สึกว่าเรากราบตัวเองให้ได้ก่อน เพราะวันนั้นวันบวช แม่เราจะมากราบเรา ยายเราจะมากราบเรา ถ้าตราบใดที่เรายังกราบตัวเองไม่ได้ เราก็จะรู้สึกขึ้นมา

ก่อนบวช... จะมีพิธีกรรมขอขมา นาคเตรียมบวชจะแต่งกายชุดขาวทั้งหมด และกล่าวคำว่า
อุกาสะ... ดังข้าพเจ้าทั้งหลาย... จะขอวโรกาส กราบลา พ่อแม่ ญาติพี่น้อง ท่านพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย เพื่อบรรพชา ณ บัดนี้.... ฯลฯ

เป็นการขอขมาลาโทษ เป็นโอกาสที่เราจะได้กล่าวกับพ่อ แม่ของเรา ผมเป็นผู้ชายคนหนึ่งที่ไม่เคยกล่าวคำขอโทษแม่ของผม เมื่ออยู่ในพิธีขอขมา
ความรู้สึก ตาต่อตา แม่ที่ยอมรับ ปิติใจ ที่เห็นลูกเป็นคนดีของเขาอย่างน้อยก็ช่วงหนี่งในชีวิต ภาพต่าง ๆ ที่ผมทำไม่ดีกับแม่ เหมือนนั่งดูหนัง มันกรอกลับมาให้เห็น เรารู้สึกว่า

เราทำไม่ดีกับผู้หญิงคนนี้มามาก

เราทำให้เขาเจ็บช้ำน้ำใจ ทำไม่ดีกับเขามามากมาย

เท่านั้นเอง พอตาต่อตา ประสานกัน

น้ำตาก็ไหล มันเป็นทั้งความสุข ความปิติ

และอยากเป็นพระดี ๆ ให้แม่ได้บุญเยอะๆ

ประทับใจภาพหนึ่ง เช้าวันหนึ่งเราไปบิณฑบาต เห็นคุณยายคนหนึ่งไปเตรียมตักบาตร
พระอาทิตย์ขึ้นตอนเช้าๆ แสงเรืองรอง คุณยายมือสั่นตอนใส่บาตรด้วยความมีอายุ บ้านคุณยายก็ฐานะไม่ค่อยดี แต่มีศรัทธาที่จะตักบาตร ตักข้าวปากหม้อเม็ดงาม ๆ มาถวายพระ ผมเห็นแล้วปิติน้ำตาจะไหล อธิษฐานในใจ ขอให้บุญที่ยายถวายภัตตาหารพระด้วยความนอบน้อม และประณีต และ
บุญที่พระตั้งใจบวช อบรมตัวเองในครั้งนี้ทั้งหมด ขอผลบุญ ดลบันดาลให้คุณยายคนนี้ .... ไม่พบกับความยากจนอีกเลย ไปทุกภพ ทุกชาติ

เลิกหลงทาง ตั้งหางเสือใหม่
บวชแล้วได้แนวทางในการดำเนินชิวิตครับ ซึ่งแต่ก่อนไม่มี แต่ก่อนผมใช้ชีวิตไปเรื่อย ๆ ถ้าเป็นเรือ ก็คือเรือที่อยู่ในท้องมหาสมุทร ที่ไม่มีหางเสือ ถามว่าอยู่บนผิวน้ำได้ไหม อยู่ได้ แต่ไม่มีเป้าหมาย
ล่องลอยไปเรื่อยเปื่อยไม่มีหลักยึดเหนี่ยวจิตใจ

แต่การได้บวช เหมือนการที่เราได้ตั้งหางเสือแล้ว เช่นเรา จะไปเกาเสม็ด เราตั้งหางเสือไว้ว่า เราจะไปทางทิศนี้ จะช้า จะเร็ว เราจะไปถึงเกาะเสม็ด
แต่ถ้าชีวิตไม่ได้ตั้งหางเสือ ไม่รู้จะไปไหน สะเปะสะปะ บางคนไปหลงติดยาอยู่หลายปี มันเหมือนเผชิญกับการไปชนกับหินโสโครก ไปเจอพายุ ฝนตก เรือแตก ไม่มีเป้าหมาย ใช้ชีวิตไปวัน ๆ เพื่อจะให้อยู่ในท้องทะเลนั้นเอง แล้วรอวันหนึ่งก็ตายไป ไปไม่ถึงเป้าหมาย

แต่มาบวชนี่ รู้สึกว่าชีวิตได้แนวทางในการดำเนินชีวิต ถึงแม้ออกไปจะไม่ใช่คนดีเลิศประเสริฐนัก แต่อย่างน้อยเรามีธรรมะไว้เป็นที่พึ่ง
เช่น เราอกหัก มีทุกข์ แก้ปัญหาบางเรื่องไม่ได้ มีปัญหาใหญ่ๆ เรามีธรรมะมาสอนตัวเรา เรามีบุญ มีกุศล มีความดีงามที่เป็นเส้นทางอยู่ ก็เลยรู้สึกว่า ชีวิตนี่มันไม่เหงา ถ้าเป็นการโดดร่ม เรามีร่มสำรองอยู่บ้าง ไม่ใช่ร่มใหญ่ขาดปั๊บ แล้วเราก็ไม่รู้ว่า เราจะไปลงที่ไหน
ธรรมะเสมือนสิ่งนั้นเองที่คอยประคองชีวิตอยู่ ก็มีสโลแกน ผมใช้ว่า เด็กซิ่ง อิงธรรมะครับ


คำถามคาใจวัยรุ่น
ถาม ถ้าผมติดหญิงล่ะ ทำไงดี
ตอบ ให้มาบวชเสียก่อน
สึกออกไปหญิงจะติด ไม่มีผู้หญิงคนไหนในโลกที่ไม่ชอบผู้ชายดี ยกเว้นตอนเขาบอกเลิกกัน เมื่อเราบวชออกมาแล้ว ความคิดความอ่าน ความไตร่ตรอง จะสุขุมขึ้น จะมองโลกในแง่ดี แทนที่จะมองในแง่ร้าย
ไม่ใช่แค่คิดบวก ไม่คิดลบ แต่คิดเป็นด้วย
ถาม ถ้าผมติดเหล้า เบียร์ล่ะ

ตอบ ควรจะมาด่วนเลยครับ

ถาม ถ้าผมติดเพื่อนล่ะ
ตอบ เราเกิดมาไม่ใช่เกิดมาเพื่อเพื่อน เราเกิดมาเพื่อตัวเราเอง
การบวชนั้น บวชให้แม่ก็ให้ แต่ที่ให้มากที่สุด คือ ให้ตัวเราเอง เวลาเราตายใครก็ช่วยไม่ได้ เช่น ตอนตายมีสายระโยงรยางค์ เหนี่ยวรั้งไว้เต็มตัว มีไหมครับ หากมีเพื่อนมาขอว่ายมบาล ... คนนี้ซี้มากเลย ขอไว้ได้ไหมไม่เคยมีใครทำสำเร็จ

เรามาคนเดียว ตายคนเดียว การบวชเป็นเรื่องที่เราควรเห็นแก่ตัว มาบวชแล้วเราดีขึ้น เพื่อนเราก็จะดีขึ้นด้วย อยู่ใกล้ใครมันจะแผ่ไปถึงคนนั้นด้วย เพื่อนจะดีไปด้วย เพื่อนน่าจะอนุโมทนาด้วย ถ้ารักกันจริงเพื่อนก็น่าจะมาบวชเป็นเพื่อนไปด้วย เหมือนเพื่อนผม คุณเฉลิมพล เป็นกัลยาณมิตรให้ผมและมาบวชเป็นเพื่อนผมด้วย เรามาเจอกันที่ชมรมพุทธฯ ราม ก็ช่วยประคับประคองกันไป และนี่เรียกว่ากัลยาณมิตร
คนที่เป็นเพื่อนเราจริงๆ เราควรจะมาบวชเป็นเพื่อน ถ้าบวชไม่ได้จริงๆ ต้องมาช่วยสนับสนุน

ถาม ถ้าอยากบวชแต่ไม่ใช่ตอนนี้ล่ะ
ตอบ เราไม่รู้ว่าเราจะตายเมื่อไร ปีหน้าเราบอกว่าเราจะบวช บางทีเราไม่รู้ว่าเราจะตาย
ผมยกตัวอย่าง มีเพื่อนที่ทำกราฟฟิก เรียนมาด้วยกัน เป็นคนนั่งสมาธิ ที่บ้านชอบทำบุญ เพื่อนบอกว่า
กูว่านะ ... ปิดเทอมจะพาแม่ไปเที่ยวที่นั่นที่นี่ เห็นทุเรียนอยากซื้อไปให้แม่กิน เหมือนธรรมดาที่เราพูดถึงแม่กัน
วันรุ่นขึ้นแม่ตายกะทันหัน หลับแล้วตายไปเลย เขาช็อกมาก เพราะแม่ไม่ได้เป็นโรคอะไร แม่เป็นคนสุขภาพจิตดี อยู่ๆ ก็ตาย เขาโทรมาร้องไห้กับผม บอกว่า
กูเสียใจมาก..... กูบอกว่ากูจะพาแม่ไปนั่น ไปนี่ จะหาอะไรมาให้เขากิน
เขาไปซะแล้ว นี่กูไม่มีโอกาสทำให้แม่อีกแล้ว มันเป็นเรื่องที่น่าเสียใจ มึงดูแลแม่มึงดี ๆ นะ

ผมอยากบอกว่า เราไม่รู้ว่า พ่อแม่ของเราจะตายเมื่อไร คนสนิทของเราจะตายเมื่อไร เป็นเรื่องที่ไม่มีใครรู้ ให้ดอกไม้ต้องให้ขณะที่เขาดมได้

ฉะนั้นทำอะไรได้ตอนนี้.... ทำ....ถือคติไปเลย.... ใช้ชีวิตทำปัจจุบันให้ดีที่สุดแล้วอนาคตมันจะดูแลตัวของมันเองครับ

ที่มา... หนังสือ
"จุดเปลี่ยน"


[เรื่องเล่า ข้อคิด โน๊ต อุดม]

Tuesday, November 24, 2009

85.นิทานอีสป เรื่อง สุนัขรับเชิญ [ตำนาน นิทาน เรื่องเล่า]

[ตำนาน นิทาน เรื่องเล่า]

สุนัขเฝ้าบ้านเศรษฐีเอ่ยชวนเพื่อนที่เป็นสุนัขจรจัดว่า

"ค่ำนี้ที่บ้านเจ้านายข้ามีงานเลี้ยง ข้าขอเชิญเจ้าไปร่วมงาน ด้วยนะ รับรองว่ามีอาหารดีๆ กินมากมายทั้งคืนเชียวล่ะ"

สุนัขจรจัดรับคำเชิญเเล้วก็รีบไปที่บ้านเศรษฐีตั้งเเต่หัวค่ำ

เเทนที่สุนัขจรจัดจะเข้าทางหน้าบ้าน มันกลับตรงไปที่ครัว หลังบ้าน เมื่อเห็นว่ามีอาหารมากมายมันก็ดีใจกระดิกหางไปมา

พ่อครัวบังเอิญมาเห็นเข้าจึงคิดวาเป็นสุนัขที่จะมาขโมยกิน อาหารจึงจับตัวสุนัขจรจัดเหวี่ยงออกไปทางหน้าต่างทันที

เมื่อสุนัขตัวอื่นๆ เห็นสุนัขจรจัดวิ่งพลางร้องโอดโอยเช่นนั้น จึงถามว่าไปงานเลี้ยงเป็นอย่างไรบ้าง

สุนัขจรจัดจึงเเกล้งตอบเเก้เก้อว่าตนเมาไปหน่อยจึงเข้าบ้าน เศรษฐีไม่ถูก



นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

เเขกที่ดีควรเข้าทางประตูหน้าเสมอ

[ตำนาน นิทาน เรื่องเล่า]

84.นิทานอีสป เรื่อง สุนัขผู้ซื่อสัตย์ [ตำนาน นิทาน เรื่องเล่า]

[ตำนาน นิทาน เรื่องเล่า]

บ้านหลังหนึ่งเลี้ยงสุนัข เอาไว้เฝ้าบ้าน สุนัขตัวนั้น ซื่อสัตย์มากในยามกลางคืนขณะที่มันนอนหลับ หากได้ยินเสียงผิดปกติมันก็จะลุกขึ้นมาเห่าเสมอเพื่อ เตือนภัยเเก่เจ้าของบ้าน

คืนหนึ่ง มันไ้ด้ยินเสียงฝีเท้าคนย่ำใบไม้ดังกรอบเเกรบ เเผ่วเบาที่ใกล้รั้วบ้าน

เเม้จะได้เห็นว่าเป็นใครมันก็ส่งเสียงเห่าคำรามขู่ไว้ก่อน

เจ้าหัวขโมยจึงโยนเนื้อซุบยาเบื่อชิ้นหนึ่งเข้ามาในรั้ว สุนัขเฝ้าบ้านเดินเข้าไปดมๆ เเต่ก็ไม่กิน

มันยังคงเห่าต่อไปจนกระทั่งเจ้าของบ้านออกมาดู เเล้วก็ช่วยกันจับขโมยได้ในที่สุด



นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

อามิสสินบนนั้นซื้อความซื่อสัตย์ภัคดีไม่ได้

[ตำนาน นิทาน เรื่องเล่า]

83.นิทานอีสป เรื่อง สุนัขจิ้งจอกกับสิงโต [ตำนาน นิทาน เรื่องเล่า]

[ตำนาน นิทาน เรื่องเล่า]

สุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่งกำลังเดินเล่นอยู่ในป่าเมื่อสิงโตเดินผ่านมา มันก็ตกใจ จนสิ้นสติเพราะไม่เคยเห็นสิงโตมาก่อน

เดือนต่อมามันพบสิงโตอีกครั้งที่ริมลำธาร มันตกใจไม่น้อย เเต่ก็ยังควบคุมสติได้ ไม่ถึงกับเขาสั่นเป็นลมไปอีก

เดือนต่อมามันพบสิงโตที่ทุ่งหญ้าชายป่า มันก็ไม่รู้สึกกลัวอีก เเม้เเต่น้อย เเละยังกล้าวิ่งเข้าไปทักสิงโตอีกด้วยว่า

"สวัสดี ท่านเจ้าป่า วันนี้อากาศดีนะท่าน"



นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

คนเรามักไม่ยำเกรงผู้ที่คุ้นเคยกันดี

[ตำนาน นิทาน เรื่องเล่า]

82.นิทานอีสป เรื่อง สุนัขจิ้งจอกกับหมี [ตำนาน นิทาน เรื่องเล่า]

[ตำนาน นิทาน เรื่องเล่า]

สุนัขจิ้งจอกเฒ่านั่งคุยกับหมีเฒ่าถึงประวัติชีวิตของพวกตนตั้งเเต่ วัยหนุ่มจนถึงวัยชราอย่างภาคภูมิใจ

"ข้าน่ะไม่เคยไปกินคนที่ตายเเล้วเลยนะ เจ้ารู้หรือไม่"

หมีอวดในความมีคุณธรรมของตน

เเต่สุนัขจิ้งจอกหัวร่อเบาๆ พลางว่า

"ถ้าเจ้าอยากให้ใครนับถือ เจ้าก็ไม่ควรกินคนที่ยังมีชีวิตอยู่"



นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

ช่วยคนที่ยังไม่ตาย ย่อมเป็นที่น่านับถือกว่าช่วยคนที่ตายไปเเล้ว

[ตำนาน นิทาน เรื่องเล่า]

81.นิทานอีสป เรื่อง สุนัขจิ้งจอกกับลา [ตำนาน นิทาน เรื่องเล่า]

[ตำนาน นิทาน เรื่องเล่า]

วันหนึ่ง สุนัขจิ้งจอกเดินไปพบสิงโตที่กลางป่า มันรู้ว่าสิงโต จะต้องจับมันกินเป็นอาหารเเน่ๆ สุนัขจิ้งจอกจึงรีบกล่าวกับ สิงโตว่า

"ข้ารู้จักลาตัวอ้วนตัวหนึ่ง ข้าจะไปหลอกมันมาให้ท่าน"

หลังจากนั้นสุนัขจิ้งจอกก็รีบไปหลอกพาลามาที่กลางป่า

ลายอมตามมาเพราะได้เคยตกลงทำสัญญาเป็นเพื่อนตาย ต่อกันมานานเเล้ว

เมื่อลาเดินเข้าไปติดกับที่สิงโตวางไว้ สิงโตก็หันไปตะปบ สุนัขจิ้งจอกก่อน เพราะคิดว่าลานั้นเก็บไว้กินทีหลัง สุนัขจิ้งจอกก็ได้



นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

คนไม่ซื่อกับมิตรสหายย่อมไม่มีใครอยากคบหา

[ตำนาน นิทาน เรื่องเล่า]

80.นิทานอีสป เรื่อง สุนัขจิ้งจอกกับฝูงเหลือบ [ตำนาน นิทาน เรื่องเล่า]

[ตำนาน นิทาน เรื่องเล่า]

เม่นตังหนึ่งเดินผ่านมาเห็นสุนัขจิ้งจอกบาดเจ็บติดอยู่ในซอกหิน ริมลำธาร

มีเหลือบฝูงใหญ่ตอมดูดเลือดของมัน เม่นเวทนาจึงเอ่ยว่า

"ข้าจะไล่พวกเหลือบเหล่านั้นให้ดีไหม"

สุนัขจิ้งจอกส่ายหน้าเเล้วว่า

" ขอบใจเพื่อนเอ๋ย ถ้าท่านไล่เหลือบฝูงนี้ไป ฝูงใหม่ที่หิวโซก็จะ มาตอมดูดเลือดข้าอีก เเต่ฝูงนี้มันอิ่ม เเล้วมันก็อยู่เฉยๆ ข้าจึงไม่เจ็บปวดมากนัก"



นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

เมื่อสิ้นคนที่ได้ผลประโยชน์จากเรา ก็อาจมีคนใหม่ๆ ที่หวังผล ประโยชน์จากเราเข้ามาในชีวิตอีกจนได้

[ตำนาน นิทาน เรื่องเล่า]

79.นิทานอีสป เรื่อง สุนัขจิ้งจอกกับไก่บ้าน [ตำนาน นิทาน เรื่องเล่า]

[ตำนาน นิทาน เรื่องเล่า]

สุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่งอยากกินไก่บ้านมากจึงเเกล้งถาม ด้วยอุบายว่าไก่ตัวนั้นขันเสียงไพเราะเหมือนผู้เป็นพ่อ ได้หรือไม่

ไก่บ้านหลงกล จึงหลับตาโก่งคอขันทันที สุนัขจิ้งจอก จึงฉวยโอกาสงับคอไก่เเล้วพาวิ่งไป

ชาวนาจึงตะโกนร้องว่าจิ้งจอกขโมยไก่ของตน

ไก่จึงหลอกให้สุนัขจิ้งจอกร้องบอกชาวบ้านว่า ไก่ตัวนี้เป็นของมันมิใช่ของชาวบ้าน

จิ้งจอกเจ้าเล่ห์คิดว่าตนฉลาดเเต่ที่เเท้ยังขาดความเฉลียว

ดัง นั้นมันจึงอ้าปากร้องบอกชาวบ้านตามที่ไก่เเนะนำ ไก่จึงได้ทีรีบบินปรื๋อออกจากปากหนีไปหาเจ้าของ อย่างรวดเร็วเเล้วก็หัวเราะเยาะ สุนัขจิ้งจอกเป็นการใหญ่



นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

ถ้าพูดมากไป ก็อาจทำให้เสียของดีๆ ที่อยู่ในกำมือเเล้ว ได้เช่นกัน

[ตำนาน นิทาน เรื่องเล่า]

78.นิทานอีสป เรื่อง สุนัขจิ้งจอกในดงหนาม [ตำนาน นิทาน เรื่องเล่า]

[ตำนาน นิทาน เรื่องเล่า]

สุนัขจิ้งจองตัวหนึ่งชอบไปขโมยลูกไก่เเละเเม่ไก่ ของชาวบ้านมากินเป็นประจำ

วันหนึ่งพวกชาวบ้านให้พรานดักซุ่มรอเล่นงาน สุนัขจิ้งจอก เเต่สุนัขจิ้งจอกเห็นเข้าก่อนจึงรีบวิ่งหนี ออกจากหมู่บ้านโดยเร็ว

พรานยังคงไล่ล่าตามมาติดๆ สุนัขจิ้งจอกจึงกระโดด เข้าไปซ่อนตัวในดงหนามที่ชายป่า

หนามอันเเหลมคมทิ่มตำสุนัขจิ้งจอกจนเจ็บปวดไปทั้งตัว มันตัดพ้อดงหนามว่า

"ทำไมต้องทำร้ายเราด้วย ในเมื่อเราไม่เคยทำร้ายเจ้า"

ดง หนามจึงตอบว่า ลูกไก่เเละเเม่ไก่ก็ไม่เคยทำร้าย สุนัขจิ้งจอก เช่นกัน เเละการที่กระโดดเข้ามาก็ทำให้ กิ่งก้านของดงหนามหักรานไปไม่น้อย



นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

ก่อนจะตำหนิว่าใคร ควรย้อนดูตนเสียก่อนว่าเคยทำผิด เช่นนั้นมาก่อนหรือไม่

[ตำนาน นิทาน เรื่องเล่า]

77.นิทานอีสป เรื่อง สุนัขเฝ้าบ้าน [ตำนาน นิทาน เรื่องเล่า]

[ตำนาน นิทาน เรื่องเล่า]

ชาวไร่คนหนึ่งเลี้ยงเเกะเเละเเพะไว้หลายตัว นอกจากนี้ยังเลี้ยงวัว ไว้ไถนาตัวหนึ่ง กับสุนัขอีก ๒ - ๓ ตัวไว้เฝ้าบ้าน

ครั้นในฤดูหนาวปีหนึ่งมีหิมะตกหนักตลอดเวลาจนชาวไร่ไม่ สามารถออกจากบ้านได้เลย

เมื่อเสบียงหมดลง เขาจึงฆ่าเเกะเเละเเพะกินเป็นอาหาร

เดือนต่อมาก็ฆ่าวัวกินเป็นอาหารประทังชีวิต

สุนัขเฝ้าบ้านจึงปรึกษาหารือกันอย่างร้อนใจว่า

"เเม้เเต่วัวที่เลี้ยงไว้ไถนาเขาก็ยังต้องฆ่ากินเลย ต่อไปคง ถึงคราว ของเราเเน่ พวกเราจะอยู่ต่อไปหรือจะหาทางหนีดีล่ะ"



นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

เมื่อเห็นภัยเกิดเเก่คนใกล้ตัว ก็ควรหาทางระวังตังเองด้วย

[ตำนาน นิทาน เรื่องเล่า]

76.นิทานอีสป เรื่อง สิงโตกับที่ปรึกษา [ตำนาน นิทาน เรื่องเล่า]

[ตำนาน นิทาน เรื่องเล่า]

สิงโตถามเเกะว่า

"ลมหายใจข้ามีกลิ่นเป็นอย่างไรบ้าง"

เมื่อเเกะดมเเล้วก็ตอบตามตรงว่า

"เหม็นมากเลยนะท่าน"

สิงโตโกรธมากจึงจับเเกะกินเสีย เเล้วก็เรียกหมาป่าเข้ามาถาม

"ไม่มีกลิ่นเลยท่าน"

คำตอบของหมาป่าทำให้สิงโตโกรธ จึงจับหมาป่ากินเสีย เพราะคิดว่าหมาป่าเอาเเต่ประจบ ไม่มีความจริงใจ

ต่อมาสิงโตเรียกสุนัขจิ้งจอกมาถามบ้าง สุนัขจิ้งจอกจึงตอบว่า

"วันนี้ข้าเป็นหวัด จมูกคงดมอะไรไม่ได้กลิ่นหรอกท่าน"

สิงโตเห็นว่ามีเหตุผลจึงปล่อยตัวไป



นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

ถ้ามีปัญญา ก็สามารถเอาตัวรอดได้

[ตำนาน นิทาน เรื่องเล่า]

Monday, November 23, 2009

75.นิทานอีสป เรื่อง สามีผู้ใจดี [ตำนาน นิทาน เรื่องเล่า]

[ตำนาน นิทาน เรื่องเล่า]

ชายคนหนึ่งมีภรรยาสองคน เขามักตามใจภรรยาทั้งสอง อยู่เสมอ เพราะความรักอันเต็มเปี่ยม

ภรรยาสาวนั้นอยากให้สามีวัยกลางคนดูหนุ่มเเน่นตลอดเวลา จึงถอนผมหงอกออกเสมอ

ฝ่ายภรรยาที่อายุมากก็อยากให้สามีดูมีอายุเหมือนตนจึง คอยถอนผมดำออกไปเพื่อให้เหลือเเต่ผมหงอก

วันหนึ่งสามีไปส่องกระจกเห็นตัวเองมีศรีษะล้านเลี่ยน ก็ต้องร้องลั่นบ้านด้วยความตกใจสุดขีด



นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

ผู้ที่ตามใจคนอื่นจนเกินไป ก็สิ้นความเป็นตัวเอง

[ตำนาน นิทาน เรื่องเล่า]

74.นิทานอีสป เรื่อง สามขุนนาง [ตำนาน นิทาน เรื่องเล่า]

[ตำนาน นิทาน เรื่องเล่า]

คณะขุนนางเเห่งนครหนึ่งหารือกันเรื่องซ่อมเเซมกำเเพงเมือง

ขุนนางคนหนึ่งมาจากตระกูลช่างไม้ได้เสนอขึ้นว่า

"ใช้ไม้ซุงทำกำเเพง รับรองว่าเเข็งเเรงเเน่นอน"

ขุนนางคนที่สองมาจากตระกูลช่างทำหนังก็เสนอว่า

"ใช่หนังสัตว์สิ ทั้งทนทานเเละเเข็งเเรง"

ขุนนางคนที่สามมาจากตระกูลช่างก่ออิฐก็เสนอว่า

"ไม่ซุงกับหนังสัตว์หรือจะสู้อิฐได้"



นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

คนเราย่อมคิดว่าสิ่งที่ตนถนัดนั้นเป็นสิ่งที่ดีที่สุด

[ตำนาน นิทาน เรื่องเล่า]

73.นิทานอีสป เรื่อง สองสาวใช้กับไก่ [ตำนาน นิทาน เรื่องเล่า]

[ตำนาน นิทาน เรื่องเล่า]

หญิงสาว ๒ คนทำงานเป็นสาวใช้ในบ้านหลังหนึ่ง

เเม่เฒ่าเจ้าของบ้านมักจะลุกมาปลุกสองสาวใช้ ตอนใกล้รุ่งทกๆวันเมื่อไก่ขัน

"ไก่ขันเมื่อใดเป็นตื่นมาปลุกเราทุกที"

สองสาวใช้บ่นอย่างไม่พอใจเเละคิดว่า ไก่นั้นเป็นต้น เหตุ ที่ทำให้พวกตนไม่ได้นอนสบายๆ ตอนฟ้าสาง

สอง สาวใช้จึงช่วยกันฆ่าไก่เสีย ครั้นเมื่อไม่มีไก่ คอยขัน ตอนรุ่งสางอีกเเล้ว เเม่เฒ่าจึงมักคอยตื่นขึ้น กลางดึกเสมอๆ เพราะกลัวว่าจะนอนตื่นสาย

สองสาวใช้จึงต้องลุกมาทำงานตั้งเเต่กลางดึก ไม่ได้นอนสบายๆอย่างที่หวังไว้



นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

ให้ทุกเเก่ท่าน ทุกข์นั้นถึงตัว

[ตำนาน นิทาน เรื่องเล่า]

72.นิทานอีสป เรื่อง สองเกลอกับขวาน [ตำนาน นิทาน เรื่องเล่า]

[ตำนาน นิทาน เรื่องเล่า]

ชายสองคนเป็นเพื่อนเกลอร่วมเดินทางได้กันจนพบขวานเล่มหนึ่ง ตกอยู่

"ขวานเล่มนี้เป็นของข้า เพราะข้าพบก่อน"

ชายคนหนึ่งเอ่ยขึ้นพลางก้มลงหยิบขวานมาถือไว้

"เราสองคนเจอพร้อมกันนะ จะว่าเจ้าพบก่อนได้อย่างไร"

บังเอิญขณะนั้นชายเจ้าของขวานผ่านมาจึงเอ่ยขึ้นว่า

"อยู่นั่นเอง ขโมยที่ลักขวานของข้าไป"

"ตายเเล้วพวกเรา" ชายที่ถือขวานร่ำร้อง

เพื่อนเกลอของเขาจึงรีบกล่าวว่า

"อย่าพูดว่า "พวกเรา" สิ ข้าไม่เกี่ยวข้องด้วยนะ"



นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

คนเรามักอยากร่วมเเบ่งปันเเต่สิ่งดีๆ ไม่อยากร่วมรับโทษ รับภัยด้วย

[ตำนาน นิทาน เรื่องเล่า]

71.นิทานอีสป เรื่อง วัวหนุ่มกับวัวสาว [ตำนาน นิทาน เรื่องเล่า]

[ตำนาน นิทาน เรื่องเล่า]

วัวหนุ่มมักจะขยันขันเเข็งอดทนทำงานหนักอยู่ตลอดเวลา วัวสาวจึงกล่าวว่า

"ชีวิตท่านน่าเบื่อจังนะ ดูชีวิตข้าสิได้วิ่งเล่นสบายในทุ่งหญ้า ทุกวันเลย"

ครั้นเมื่อถึงหน้าเทศกาล วัวหนุ่มก็ได้หยุดทำงาน ในขณะที่ วัวสาวถูกฆ่าบูชาเทพยดา

วัวหนุ่มจึงคิดในใจว่า

"ถ้าชีวิตที่มีเเต่เที่ยวเล่นต้องพบจุดจบเช่นนี้ ข้าขอทำงานหนัก ทั้งชีวิตดีกว่า"



นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

ผู้ที่รู้จักทำงานย่อมมีคุณค่ากว่า

[ตำนาน นิทาน เรื่องเล่า]

Sunday, November 22, 2009

70.นิทานอีสป เรื่อง วัวสามสหาย [ตำนาน นิทาน เรื่องเล่า]

[ตำนาน นิทาน เรื่องเล่า]

ครั้งหนึ่งยังมีวัวสามตัวได้ตกลงสัญญาเป็นเพื่อนตายต่อกัน

ดังนั้นวัวทั้งสามจึงมักไปไหนด้วยกันเสมอๆ เเละคอยระเเวด ระวัง ภัยให้เเก่กันด้วย

สิงโตที่จ้องหาทางจะกินวัวอยู่จึงเเอบไปกระซิบกับวัวตัวที่หนึ่งว่า วัวตัวที่สองกับที่สามนั้นนินทาด่าว่าลับหลังวัวตัวที่หนึ่ง

เเล้วสิงโตก็ไปยุเเหย่ตัวที่สองว่า วัวตัวที่หนึ่งกับที่สามคิดทำร้าย วัวตัวที่สอง

เเล้วยุเเหย่วัวตัวที่สามในทำนองนั้นเช่นกัน

ต่อมาวัวทั้งสามจึงเริ่มเเตกคอ ไม่ไว้ใจกันเเละกัน ต่างก็ออก ไปหากินกันคนละที่ จนสิงโตมีโอกาสไปดักกินวัวทีละตัว ได้อย่างสบาย



นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

เมื่อแตกสามัคคี เมื่อนั้นความหายนะมาถึง

[ตำนาน นิทาน เรื่องเล่า]

69.นิทานอีสป เรื่อง วัวกับเเมลงหวี่ [ตำนาน นิทาน เรื่องเล่า]

[ตำนาน นิทาน เรื่องเล่า]

วัวนั้นเป็นสัตว์ตัวใหญ่ เเละก็มีพละกำลังมิใช่น้้อย เเต่เมื่อสัตว์ตัวกระจิริด อย่างเเมลงหวี่มาก่อกวน ท้าทายเเทนที่จะวางตนนิ่งเฉยไม่ยุ่งด้วย วัวกลับ ไม่ยอมให้เเมลงหวี่คุยข่มตนซึ่งตัวใหญ่กว่า

เเมลงหวี่จึงท้าให้สู่กัน ถ้าใครชนะก็เเสดงว่าผู้นั้น ยิ่งใหญ่กว่า

เมื่อ วัวตอบตกลง เเมลงหวี่ก็บินตอมวนเวียนอยู่รอบๆ เขาเเละเหนือศีรษะของวัวในขณะที่วัวไม่สามารถจะ ขวิดเเมลงหวี่หรือทำอะไรเเมลงตัวน้อยๆ ได้เลย

วัวได้เเต่อับอายขายหน้าบรรดาสัตว์ทั้งหลาย ที่มามุงดูกันเป็นจำนวนมากในบริเวณนั้น



นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

ถ้าวางตนนิ่งเฉยไม่วุ่นวายกับสิ่งที่ไม่คู่ควร ก็ไม่ต้อง อับอายเปลืองตัว

[ตำนาน นิทาน เรื่องเล่า]

68.นิทานอีสป เรื่อง ลูกอึ่งอ่างกับเเม่ [ตำนาน นิทาน เรื่องเล่า]

[ตำนาน นิทาน เรื่องเล่า]

ลูกอึ่งอ่างเห็นเเม่วัวเหยียบพี่น้องของมันตายหมด จึงรีบวิ่งไป ฟ้องเเม่อย่างอกสั่นขวัญหาย

"ตัวมันใหญ่โตมากจ้ะเเม่ สัตว์สี่เท้าอะไรก็ไม่รู้ ลูกไม่เคยเห็น"

เเม่อึ่งอ่างจึงพองตัวให้ลูกดูพลางถามว่า

"ตัวมันใหญ่เท่านี้ได้ไหมลูก"

ลูก อึ่งอ่างตอบว่าใหญ่กว่านั้นอีก เเม่อึ่งอ่างก็พองตัวขึ้นอีก เเต่ลูกก็บอกว่าจะพองตัวให้ใหญ่เเค่ไหนก็คงไม่เท่าสัตว์ตัวนั้น ได้หรอก

เเต่เเม่อึ่งอ่างไม่ยอมหยุด กลับพยายามเบ่งตัวให้ตัวพองขึ้นอีก ครั้นจนพุงเเตกตายในที่สุด



นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

ทำสิ่งใดไม่ดูกำลังความสามารถของตนก็ต้องพบกับภัย อันตรายเเน่นอน

[ตำนาน นิทาน เรื่องเล่า]

67.นิทานอีสป เรื่อง ลูกสาวกับพ่อ [ตำนาน นิทาน เรื่องเล่า]

[ตำนาน นิทาน เรื่องเล่า]

พ่อคนหนึ่งไปเยี่ยมลูกสาวคนโตที่เเต่งงานกับชาวสวน

"ลูกสบายดีหรือไม่ ต้องการอะไรหรือเปล่า"

พ่อถามอย่างห่วงใย ลูกสาวคนโตจึงตอบว่า

"สบายดีจ้ะพ่อ ลูกไม่เคยต้องการอะไรอีกนอกจากอยาก ให้ฝนตกมามากๆ พืชผลในสวนจะได้งอกงามดี"

เมื่อไปเยี่ยมลูกสาวคนเล็ก พ่อก็ถามเช่นเดียวกันกับที่ถาม ลูกสาวคนโต

ลูกสาวคนเล็กซึ่งเป็นเมียช่างปั้นหม้อก็ตอบว่า

"ลูกสบายดีจ้ะพ่อ เเต่ต้องการอย่างเดียวคืออยากให้ฝน ไม่ตกเลย ถ้ามีเเดดจ้า หม้อดินที่ตากไว้ก็จะเเห้งเร็วจ้ะพ่อ"



นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

คนเรามักต้องการเเต่สิ่งที่เป็นผลประโยชน์เเก่ตน

[ตำนาน นิทาน เรื่องเล่า]

66.นิทานอีสป เรื่อง ลูกชาวนากับมรดก [ตำนาน นิทาน เรื่องเล่า]

[ตำนาน นิทาน เรื่องเล่า]

เมื่อ ผู้เป็นพ่อตายเเล้ว ลูกชาวนาทั้งสองก็ชวนกันไปขุดหา สมบัติในสวนองุ่นเพราะพ่อได้สั่งเสียไว้ก่อนตายว่า ทรัพย์สมบัติ ของพ่ออยู่ในสวนองุ่น

"น้องไปขุดตรงนั้นนะ พี่จะขุดตรงนี้"

ลูกชาวนาช่วยกันขุดดินตามที่ต่างๆไปจนทั่วสวนก็ยังไม่พบ สมบัติที่คิดว่าพ่อจะฝังไว้

เเต่สวนองุ่นที่ถูกขุดถูกพรวนดินจนทั่วนั้นก็กลับยิ่งเจริญงอกงาม ดีจนลูกชาวนาสองพี่น้องสามารถขายองุ่นจนได้เงินทองมากมาย

ทั้งสองจึงเพิ่งตระหนักได้ว่าทรัพย์สมบัติที่พ่อทิ้งไว้ให้เป็นมรดก นั้นที่เเท้คือสิ่งใด



นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

ความขยันพากเพียรสามารถก่อให้เกิดทรัพย์

[ตำนาน นิทาน เรื่องเล่า]

65.นิทานอีสป เรื่อง ลูกกวางกับทะเล [ตำนาน นิทาน เรื่องเล่า]

[ตำนาน นิทาน เรื่องเล่า]

ลูกกวางตัวหนึ่งมีตาข้าง เดียว มันรู้ตัวดีว่าไม่สามารถ ระวังภัยได้ตลอดเวลา เพราะถ้ามีภัยมาทางด้านตา ข้างที่บอด มันก็จะไม่รู้ตัว เพราะมองไม่เห็น

ลูก กวางตาเดียวจึงเดินไปที่ทะเล เเละหันตา ข้างที่บอด ไปทางทะเลเพื่อที่ตาข้างดีจะได้หันไปทาง ชายป่า หากมีภัยมามันก็จะมองเห็น เเละ หลบหนีได้ทัน ขณะนั้นมีเรือเล็กๆ ลำหนึ่งเเล่นมาใกล้ ชายฝั่ง เมื่อเห็นลูกกวางจึงเอาปืนยิงใส่หลายนัด จนลูกกวาง ขาดใจตาย



นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

บางครั้ง ภัยอัตรายก็เกิดขึ้นจากสิ่งที่เราคิดไม่ถึง

[ตำนาน นิทาน เรื่องเล่า]

64.นิทานอีสป เรื่อง ลูกเเกะรู้ทันหมาป่า [ตำนาน นิทาน เรื่องเล่า]

[ตำนาน นิทาน เรื่องเล่า]

หมาป่าบาดเจ็บตัวหนึ่งเอ่ยกับลูกเเกะที่ผ่านมาว่า

"เพื่อนเอ๋ย ข้าได้รับบาดเจ็บจนเดินไม่ได้ เจ้าช่วยไปหาน้ำ มาให้ข้าสักหน่อยเถิด ข้าหิวน้ำเหลือเกิน"

ลูกเเกะได้ยินเช่นนั้นก็เเถลงถามว่า

"เเล้วอาหารล่ะ ท่านไม่หิวหรือ"

หมาป่ามองดูลูกเเกะตัวอ้วนเเล้วก็เผลอกลืนน้ำลายก่อนจะเอ่ยว่า

"ไม่ต้องหาอาหารมาให้ข้าหรอก ข้าหาเองได้"

ลูกเเกะหัวเราะเเล้วว่า

"ใช่สิ เมื่อข้าเอาน้ำเข้าไปให้ เจ้าก็จะฉวยโอกาสจับข้ากิน เป็นอาหาีีรน่ะสิ"



นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

คำขอร้องของคนร้าย มักซ่อนกลอุบายไว้ ควรระวัง

[ตำนาน นิทาน เรื่องเล่า]

63.นิทานอีสป เรื่อง ลิงอวดเก่ง [ตำนาน นิทาน เรื่องเล่า]

[ตำนาน นิทาน เรื่องเล่า]

ชาวประมงวางอวนในเเม่น้ำเเล้วก็กลับไปหาข้าวหาปลากิน ที่กระท่อม

ลิงตัวหนึ่งซึ่งนั่งดูอยู่บนต้นไม้ตั้งเเต่เช้าก็คิดว่าตนก็ทำ อย่างชาวประมงได้เช่นกัน

"ไม่น่าจะยากเลย เเค่วางอวนไว้เพื่อดักปลา"

คิดดังนั้นลิงจอมซนก็ลงจากต้นไม้มาหยิบอวนอีกปากหนึ่งไปที่ ริมน้ำ

เเต่ด้วยความที่ไม่เป็นประสา อวนจึงพันตัวอีรุงตุงนังจนกลิ้ง ตกลงไปในน้ำพลางดิ้นทุรนทุรายเพราะหายใจไม่ออก



นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

หาญทำในสิ่งที่ไม่รู้ ย่อมได้รับความเสียหาย

[ตำนาน นิทาน เรื่องเล่า]

62.นิทานอีสป เรื่อง ลาอยากร้องเพลง [ตำนาน นิทาน เรื่องเล่า]

[ตำนาน นิทาน เรื่องเล่า]

จักจั่นมักจะส่งเสียงร้องเพลงอย่างไพเราะตลอดเวลา

ลาจึงถามจักจั่นว่า

"เพื่อนเอ๋ย เจ้ากินอะไรหรือ จึงมีเสียงที่ไพเราะนัก"

จักจั่นยิ้มเเล้วตอบว่า

"อ๋อ อาหารของข้าก็คือน้ำค้างไงล่ะ"

ลา จึงเข้าใจว่าเพราะจักจั่นกินเเต่น้ำค้าง อย่างเดียว จึงได้มีเสียงไพเราะ เช่นนั้น ถ้าตนลองกินน้ำค้างบ้าง ก็คงจะร้องเพลงได้ไพเราะอย่างจักจั่น

ตั้งเเต่วันนั้นลาก็กินเเต่น้ำค้าง ไม่กินหญ้าที่เป็นอาหาร ของตน ไม่ช้าไม่นานนัก ลาก็ตายไปเพราะ ความหิวโหย



นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับผู้อื่นอาจเป็นสิ่งที่เเย่ที่สุดสำหรับเรา

[ตำนาน นิทาน เรื่องเล่า]

61.นิทานอีสป เรื่อง ลาหลายนาย [ตำนาน นิทาน เรื่องเล่า]

[ตำนาน นิทาน เรื่องเล่า]

เมื่อได้ทำงานอยู่ในสวนผลไม้ ลาก็รู้สึกว่าตนต้องทำงานหนัก เเละได้กินอาหารไม่เพียงพอ

ลาจึงไปกราบทูลพระอิศวรขอให้หาเจ้านายให้ใหม่

พระอิศวรทรงรำคาญจึงไปอยู่กับช่างปั้นหม้อ

ลาต้องขนดินหนักอึ้งเป็นระยะทางไกลๆ ทุกวันก็ทนไม่ไหว ขอร้องให้พระอิศวรช่วยอีกเป็นครั้งสุดท้าย

ครั้ง นี้ลาได้ไปทำงานกับโรงฟอกหนัง ต้องทำงานหนักกว่าเดิม จนลาสำนึกได้ว่าอยู่ที่สวนผลไม้กับเจ้านายคนเเรกนั้นเเสนสบาย นัก เเละ เจ้าลาขี้เบื่อยังรู้อีกด้วยว่า อยู่ที่นี่ถ้ามันทำงาน จนตายก็จะถูกถลกหนังไปฟอกขายต่อเป็นเเน่



นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

ถ้ารู้จักพอเพียงเเละเจียมตน ก็ย่อมมีความสุขตลอดไป

[ตำนาน นิทาน เรื่องเล่า]

Saturday, November 21, 2009

60.นิทานอีสป เรื่อง ลาลืมตน [ตำนาน นิทาน เรื่องเล่า]

[ตำนาน นิทาน เรื่องเล่า]

ลาตัวหนึ่งขโมยหนังสิงโตจากนายพรานมาได้ก็ดีใจนัก

มัน เอาหนังสิงโตคลุมร่างเเล้วก็เที่ยวได้คอยดักซุ่มอยู่ตามพุ่มไม้ เมื่อสัตว์อื่นๆ เดินผ่านมาลาก็กระโดดออกมาจากที่ซ่อน สัตว์ อื่นๆ ไม่ทันสังเกตก็ตกใจตัวสั่น รีบวิ่งหนีไปไม่ได้คิดชีวิต

วันหนึ่งสุนัขจิ้งจอกเดินผ่านมา ลาก็กระโดดออกมาจากพุ่มไม้

สุนัขจิ้งจอกนั้นก็ตกใจ เเต่ยังนิ่งอยู่เพื่อตั้งสติเเละหาทาง เอาตัวรอด

ลาเห็นสุนัขจิ้งจอกไม่กลัวจึงส่งเสียงขู่คำราม

เมื่อได้ยินว่าเป็นเสียงของลา สุนัขจิ้งจอกจึงเข้าตะครุบจับลากิน เป็นอาหาร



นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

ที่อวดอ้างเกินจริงย่อมอวดเก่งลืมตนจนคนอื่นจับผิดได้

[ตำนาน นิทาน เรื่องเล่า]

59.นิทานอีสป เรื่อง ลาทะนงตน [ตำนาน นิทาน เรื่องเล่า]

[ตำนาน นิทาน เรื่องเล่า]

สิงโตเห็นลาตัวอ้วนอยู่ในคอก จึงค่อยๆ เยื้องย่างเข้าไป หมายจะตะปบลาด้วยกรงเล็บอันเเหลมคม

เเต่ ไก่ตัวหนึ่งที่อยู่ในคอกได้โก่งคอส่งเสียงขันดังลั่น สิงโตจึง วิ่งหนีผละจากคอก เพราะทั้งเกลียดทั้งกลัวเสียงของไก่เป็น ยิ่งนัก

ฝ่ายลาเห็นเช่นนั้นก็เข้าใจว่าสิงโตกลัวตน จึงได้ออกจากคอก วิ่งไล่สิงโตอย่างลำพองใจ

"ฮะ ฮ่า เจ้าสิงโตตัวโต จะวิ่งหนีไปไหนรึ"

เมื่อสิงโตวิ่งหนีพ้นเสียงไก่เเล้วจึงหันมาตะครุบลากินเป็นอาหาร อันโอชะของเย็นวันนั้น



นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

คนโง่เขลามักทำยโสโอหังว่าตนเก่ง

[ตำนาน นิทาน เรื่องเล่า]

58.นิทานอีสป เรื่อง ลากับม้าทหาร [ตำนาน นิทาน เรื่องเล่า]

[ตำนาน นิทาน เรื่องเล่า]

ลาตัวหนึ่งเเบกสัมภาระอันหนักอึ้งไว้บนหลังขณะเดินทางเข้า ประตูเมือง อย่างเชื่องช้า

"หลีกทางไป เจ้าลาสกปรก"

ม้า ทหารตวาดไล่ด้วยเสียงอันดัง ลาจึงหลีกทางให้ พลางเฝ้า มองดูม้าทหารผู้งามสง่าอยู่ในเครื่องประดับเต็มยศอย่างโก้หรู นั้นเยื้องย่างผ่านไป

เมื่อย้อมมองดูตนเองเเล้วลาก็ได้เเต่นึกอิจฉาในลาภยศของ ม้าทหาร

เเต่ท ว่าหลังจากม้าทหารได้รับบาดเจ็บในสนามรบ เเละมิอาจ ออกสนามได้อีก มันก็ถูกส่งมาทำงานหนักในไร่ในนา ต้องลาก เกวียนที่บรรทุกสัมภาระหนักๆ ทุกวันอย่างตรากตรำ

ลามองอดีตม้าทหารอย่างเวทนาเเละเข้าใจชีวิตได้มากขึ้น



นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

ผู้ที่หลงในยศศักดิ์ เมื่อตกต่ำเเล้วมักโดดเดี่ยวเเละเจ็บปวด ไม่ควรค่าเเก่การที่เราจะอิจฉา

[ตำนาน นิทาน เรื่องเล่า]

57.นิทานอีสป เรื่อง ลาใจดำ [ตำนาน นิทาน เรื่องเล่า]

[ตำนาน นิทาน เรื่องเล่า]

พ่อค้าคนหนึ่งนำสัมภาระ บรรทุกเกวียนเเล้วให้วัว กับลา ช่วยกันลากไปยังอีกหมู่บ้านหนึ่ง

เเม้จะเทียมเเอกคู่กันเเต่ลานั้นไม่ค่อยยอมช่วยออกเเรง ลากนัก

วัว ใช้เเรงอยู่ฝ่ายเดียวจนเหนื่อยหอบก็เอ่ยปากขอ ให้ลาช่วยออกเเรงลากเกวียนบ้าง เเต่ลาก็เเกล้งปดว่า ตนก็ช่วยออกเเรงเต็มที่อยู่เเล้ว

วัวออกเรงลากเกวียนอันหนักอึ้งตามลำพังจนขาหัก เเละหมดเเรงขาดใจตายไปในที่สุด

พ่อค้าจึงเเล่เอาเนื้อวัวบรรทุกเกวียนให้ลาลากไป ในขณะที่เกวียนนั้นมีน้ำหนักมากกว่าเดิมอีกหลายเท่า

ใน วันที่ลาหมดเเรงใกล้จะสิ้นใจตาย นกฝูงหนึ่งที่บิน ตามมาจิกกินเนื้อวัวก็เอ่ยกับลาว่า ถ้าช่วยวัวออกเเรง ลากเกวียนเเต่เเรกก็ไม่ต้องมาตายกลางป่าเช่นนี้



นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

ผู้ที่ไม่คิดช่วยเหลือเกื้อกูลเเต่คิดจะเอาเปรียบผู้อื่นร่ำไป ย่อมได้ภัยเเก่ตนในที่สุด

[ตำนาน นิทาน เรื่องเล่า]

56.นิทานอีสป เรื่อง ลาโง่กับสิงโต [ตำนาน นิทาน เรื่องเล่า]

[ตำนาน นิทาน เรื่องเล่า]

เมื่อสิงโตคำรามในยามออก ล่าเหยื่อ สัตว์ต่างๆ ที่ผ่าน มาก็จะหวาดกลัวเเละรู้ว่าเป็นเสียงสิงโตจึงมักวิ่งหนี ไปได้ก่อนที่จะกลายเป็นอาหารอันโอชะของสิงโต

สิงโตจึงทำอุบายไปตีสนิทกับลาเเล้วชวนลาไปล่าเหยื่อ ด้วยกันลาดีใจนักที่ได้เป็นเพื่อนกับเจ้าป่าจึงทำตามที่ สิงโตบอกทุกอย่าง

ลา เข้าไปซุ่มซ่อนในพงไม้ พอสัตว์ต่างๆ ผ่านมาลาก็จะ เเหกปากร้องสุดเสียง พวกสัตว์ต่างๆ ไม่เคยได้ยินเสียง ลา จึงพากันวิ่งไปอีกทางหนึ่งซึ่งสิงโตดักซุ่มอยู่

วันนั้นสิงโตจึงได้อิ่มหนำสำราญกับสัตว์นานาชนิด

ลา ก็คุยโอ่อย่างภูมิใจว่าที่สิงโตกินอิ่มได้ก็เพราะเสียง อันน่ากลัวของตน สิงโตก็ได้เเต่ยกยอปอปั้นลาทั้งๆ ที่รู้ว่าสัตว์ต่างๆ นั้นวิ่งหนี เพราะตกใจในเสียงประหลาดๆ ของลาต่างหาก



นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

คนโง่ย่อมตกเป็นเครื่องมือของคนฉลาด

[ตำนาน นิทาน เรื่องเล่า]

55.นิทานอีสป เรื่อง ลาเจ้าอุบาย [ตำนาน นิทาน เรื่องเล่า]

[ตำนาน นิทาน เรื่องเล่า]

ลาตัวหนึ่งบรรทุกเกลือเต็มหลังมาจากริมทะเล

ระหว่างทางกลับบ้านต้องข้ามลำธาร บังเอิญลาลื่นล้มลง เกลือละลายไปในน้ำเสียมาก เมื่อเดินทางต่อไปมันจึงรู้สึกว่า เบาหลังสบายนัก

ครั้งต่อไปเมื่อเจ้านายไปซื้อเกลือที่ริมทะเลอีก ลาก็เเกล้งลื่นล้ม ในลำธารอีกเพื่อจะได้ไม่ต้องเเบกเกลือหนักๆ กลับบ้าน

เจ้านายของลารู้ทันอุบายนั้น จึงได้พาลาไปซื้อฟองน้ำในคราว ต่อไป

เเม้จะรู้สึกว่าไม่หนักนัก เเต่ลาก็ยังเเกล้งล้มในลำธารเหมือนเดิม อีก คราวนี้น้ำจึงซึมเข้าไปเต็มเนื้อฟองน้ำจนชุ่มโชก

ลาจึงต้องบรรทุกของที่มีน้ำหนักเพิ่มกว่าเดิมอีกหลายเท่า



นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

เเผนการบางอย่างก็ใช้ไม่ได้กับทุกสถานการณ์

[ตำนาน นิทาน เรื่องเล่า]

54.นิทานอีสป เรื่อง เมื่อสุนัขกัด [ตำนาน นิทาน เรื่องเล่า]

[ตำนาน นิทาน เรื่องเล่า]

เมื่อเดินทางมาถึงเมืองนั้น ชายเร่ร่อนก็เข้าไปในตลาดเพื่อ หาซื้อข้าวของ เเต่บังเอิญเขาถูกสุนัขในตลาดกัดที่น่องจน เป็นเเผล

"ท่านต้องเอาขนมปังชุบเลือดจากเเผล เเล้วนำไปให้สุนัขตัวนั้น กิน เเผลของท่านจึงจะหายได้เเละไม่เป็นพิษ"

พ่อค้าคนหนึ่งเเนะนำ เเต่ ชายเร่ร่อนยิ้มเเล้วกล่าวว่า

"ถ้าทำเช่นนั้น สุนัขทุกตัวในเมืองก็จะมากัดข้าเป็นเเน่ เพราะรู้ว่า เมื่อกัดข้าเเล้วจะได้กินขนมปัง"



นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

ถ้าใช้เงินซื้อศัตรู มีเเต่จะได้ศัตรูมากขึ้นเรื่อยๆ

[ตำนาน นิทาน เรื่องเล่า]

53.นิทานอีสป เรื่อง เเมวผู้หวังดี [ตำนาน นิทาน เรื่องเล่า]

[ตำนาน นิทาน เรื่องเล่า]

ด้วยเพราะเป็นสัตว์เลี้ยงอยู่ในบ้านเดียวกัน เเมวจึงเเวะไปเยี่ยม เเม่ไก่ที่นอนป่วยอยู่ในรังหลังบ้าน

"เพื่อน เอ๋ย เจ้านอนป่วยไข้อยู่อย่างนี้ถ้ามีอะไรจะให้ช่วยก็บอก ได้เลยนะ เราอยู่้บ้านเดียวกัน ไม่ต้องเกรงใจ ถึงข้าจะเคยไล่กัด เจ้าในบางครั้งก็เถอะ อย่าถือสาเลยนะ นี่ข้ามาเยี่ยมเจ้าเพราะ หวังดีจริงๆ"

เเม่ไก่จึงพยายามยิ้มก่อนจะเอ่ยว่า

"ถ้าเจ้าหวังดีก็ช่วยกลับไปกลับไปก่อนเถอะนะเพื่อนเอ๋ย ถ้าเจ้า มาเยี่ยมอย่างนี้ข้าก็ยิ่งกลัวเจ้า เเละคงจะป่วยหนักขึ้นเป็นเเน่"



นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

เขกบางประเภทก็ไม่เป็นที่พึงปรารถนาของเจ้าบ้าน

[ตำนาน นิทาน เรื่องเล่า]

52.นิทานอีสป เรื่อง เเมลงวันหัวเราะ [ตำนาน นิทาน เรื่องเล่า]

[ตำนาน นิทาน เรื่องเล่า]

เเมลงวันฝูงหนึ่ง ชักชวนกันไปตอมศีรษะของชายไร้ ผมคนหนึ่งจนเขารำคาญนัก พยายามใช้มือทั้งปัด ทั้งไล่ พวกเเมลงวันก็ยังไม่หนีไปไหน พากันตอม หัวล้านเป็นที่สนุกสนานสำราญใจ

ชายหัวล้านจึงหาไม้เเส้มาปัดมาตี เเต่กลับพลาดตีใส่ ศีรษะตนเอง

เห ล่าเเมลงวันเห็นเช่นนั้นก็หัวเราะเยาะเย้ยชายหัวล้าน เป็นการใหญ่ ชายหัวล้านจึงยิ่งโมโห ร้องเรียกลูกๆ หลานๆ ให้เอาไม้เเส้มาไล่ ตีเเมลงวันจนตายเรียบ ทั้งฝูง



นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

อย่าเยาะเย้ยคนที่พลาดพลั้งเพราะจะเป็นภัยเเก่ตัวในภายหลังได้

[ตำนาน นิทาน เรื่องเล่า]

ตำนาน หินตาหินยาย สุราษฎร์ธานี [ตำนาน นิทาน เรื่องเล่า]


[ตำนาน นิทาน เรื่องเล่า]

พูดถึงเกาะสมุย นอกจากสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่มีมากมายแล้ว ยังมีสถานที่แห่งหนึ่งบนเกาะที่ทุกคนอยากมาดูให้เห็นกับตา ในความมหัศจรรย์ของธรรมชาติจากการสร้างสรรค์ของลมและน้ำ จนกล่าวได้ว่าหากใครไม่ได้มาดูถือว่าไม่ได้ถือว่ามาไม่ถึงเกาะสมุย คือ "หินตา หินยาย" หินตาหินยายอยู่ที่อ่าวละไม ตำบลมะเร็ด ห่างจากที่ว่าการอำเภอเกาะสมุยไปทางทิศตะวันออกประมาณ 17 กิโลเมตร ห่างจากหาดเฉวงประมาณ 7 กิโลเมตร เป็นปรากฏการณ์ธรรมชิตของหินแกรนิต ที่เกิดจากการกัดเซาะโดยน้ำทะเล สายลม และแสงแดด จนเกิดเป็นโขดหินรูปร่างประหลาด ลักษณะคล้ายอวัยวะเพศของชายและหญิงอยู่เคียงคู่กัน ตำนานท้องถิ่นเล่าต่อๆกันมาว่า นานมาแล้วมีตายายคู่หนึ่ง ชื่อตาเครงและยายเรียม เป็นชาวปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช เดินทางโดยเรือใบเพื่อจะไปสู่ขอลูกสาวของตาม่องล่าย จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ให้กับลูกชายชื่อคง โดยมีนายท้ายเรือ คือนายปราบเพื่อนของลูกชาย ครั้งเรื่อแล่นมาถึงบริเวณแหลมละไม เกิดพายุใหญ่ทำให้เรือล่ม สินสอดทองหมั้นที่เตรียมมาจมน้ำหายไปจนสิ้น ส่วนญาติสนิทมิตรสหายที่เดินทางมาร่วมกัน จมน้ำเสียชีวิตกลายเป็นเกาะเล็กเกาะน้อย รายรอบเกาะสมุย หลายๆคนถูกน้ำพัดไปกลายเป็นหมู่เกาะอ่างทอง นายคงถูกน้ำซัดไปทางหาดเชิงมนเสียชีวิตกลายเป็นเกาะกง ด้านนายปราบนั้นเกาะเรือสำเภาของตัวเองลอยไปทางอ่าวบ้านดอน จนก่อนจะเข้าอ่าวบ้านดอนเรือสำเภาจมลงจนกลายเกาะนกเภา ส่วนนายปราบนั้นเสียชีวิตกลายเป็นเกาะปราบ อยู่บริเวณอ่านบ้านดอนนั้นเอง คงเหลือรอดชีวิตแค่ตาเครงและยายเรียม ถูกน้ำทะเลพัดเข้าหาดละไม ทั้งตาและยายเสียใจมาก และกลัวว่าตาม่องล่ายจะคิดว่าเป็นคนไม่รักษาคำพูด จึงพากันกลั้นใจกระโดดน้ำตาย กลายเป็นหินตาหินยายทุกวันนี้

[ตำนาน นิทาน เรื่องเล่า]

Friday, November 20, 2009

51.นิทานอีสป เรื่อง เเมลงวันตะกละ [ตำนาน นิทาน เรื่องเล่า]

[ตำนาน นิทาน เรื่องเล่า]

เหล่าฝูงเเมลงวันพากันดีอกดีใจนักที่เห็นโถน้ำผึ้งหกตะเเคงอยู่ บนโต๊ะจนน้ำผึ้งไหลออกมานองเต็มโต๊ะ

พวกมันพากันดูดกินน้ำผึ้งเเสนหอมหวานบนโต๊ะเเละเกาะอยู่ตาม ปากขวดเพื่อดูดกินน้ำผึ้งอย่างตะกละตะกลาม

เมื่อเวลาผ่านไปมันจึงเพิ่งรู้กันว่า น้ำผึ้งนั้นจับติดอยู่ที่ขาเเละปีก ของมันจนไม่สามารถจะบินขึ้นได้

พวกเเมลงวันพากันดิ้นทุรนทุรายไปมา พร้อมกับร้องโอดโอย รอความตายอย่างน่าสมเพช



นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

เมื่อหลงใหลกระโจนใส่ความสุขชั่วยามโดยไม่ระวังตัวก็ต้อง ประสบภัยในภัยในที่สุด

[ตำนาน นิทาน เรื่องเล่า]

51.นิทานอีสป เรื่อง เเมลงวันตะกละ [ตำนาน นิทาน เรื่องเล่า]

[ตำนาน นิทาน เรื่องเล่า]

เหล่าฝูงเเมลงวันพากันดีอกดีใจนักที่เห็นโถน้ำผึ้งหกตะเเคงอยู่ บนโต๊ะจนน้ำผึ้งไหลออกมานองเต็มโต๊ะ

พวกมันพากันดูดกินน้ำผึ้งเเสนหอมหวานบนโต๊ะเเละเกาะอยู่ตาม ปากขวดเพื่อดูดกินน้ำผึ้งอย่างตะกละตะกลาม

เมื่อเวลาผ่านไปมันจึงเพิ่งรู้กันว่า น้ำผึ้งนั้นจับติดอยู่ที่ขาเเละปีก ของมันจนไม่สามารถจะบินขึ้นได้

พวกเเมลงวันพากันดิ้นทุรนทุรายไปมา พร้อมกับร้องโอดโอย รอความตายอย่างน่าสมเพช



นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

เมื่อหลงใหลกระโจนใส่ความสุขชั่วยามโดยไม่ระวังตัวก็ต้อง ประสบภัยในภัยในที่สุด

[ตำนาน นิทาน เรื่องเล่า]

50.นิทานอีสป เรื่อง เเม่ปูสอนลูก [ตำนาน นิทาน เรื่องเล่า]

[ตำนาน นิทาน เรื่องเล่า]

เเม่ปูพาลูกๆ ออกไปหากินที่ชายหาด

เมื่อเห็นลูกๆ เดินคดเคี้ยวเซไปมาจึงกล่าวว่า

"ทำไมลูกไม่เดินให้ตรงๆ ทางล่ะจ๊ะ"

ลูกปูจึงตอบ

"ถ้าเช่นนั้นเเม่ลองเดินตรงๆ ให้ลูกดูหน่อยซิจ๊ะ ลูกจะได้ทำตาม"



นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

การพูดอย่างเดียว ไม่อาจสอนใครได้ดี เท่าการทำให้เห็น เป็นตัวอย่าง

[ตำนาน นิทาน เรื่องเล่า]

49.นิทานอีสป เรื่อง เเม่ตุ่นกับลูกตุ่น [ตำนาน นิทาน เรื่องเล่า]

[ตำนาน นิทาน เรื่องเล่า]

เเม่ตุ่นตัวหนึ่งเพิ่งคลอดลูกตุ่นตัวน้อยๆ น่ารัก

เเต่ลูกตุ่นนั้นยังไม่ทันจะลืมตาได้ก็เริ่มโอ้อวดว่า

"เเม่จ๊ะ เเม่จ๋า ลูกมองเห็นเเล้วล่ะ เห็นชัดเลยจ้ะ"

เเม่ตุ่นประหลาดใจนักจึงทดสอบด้วยการเอากำยานก้อนหนึ่ง ก้อนหนึ่ง มาวางต่อหน้าเเล้วถามว่า

"เเล้วนี่ล่ะจ๊ะ ลูกมองเห็นไหม บอกเเม่วิว่าคืออะไร"

ลูกตุ่นมองไม่เห็นก็ตอบมั่วๆ ว่า

"ก้อนหินไงล่ะจ๊ะเเม่"

เเม่ตุ่นมองไม่เห็นพลางตำหนิลูกว่า

"ลูกจ๋า ตาของลูกยังมองไม่เห็น จมูกก็ยังไม่ได้กลิ่นอีกด้วย"



นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

การชอบโอ้อวดเกินจริง จะทำให้ผู้อื่นเห็นข้อบกพร่องในด้านอื่นๆ ของเราเพิ่มขึ้น

[ตำนาน นิทาน เรื่องเล่า]

48.นิทานอีสป เรื่อง เเมงป่องกับเด็ก [ตำนาน นิทาน เรื่องเล่า]

[ตำนาน นิทาน เรื่องเล่า]

เเม้จะจับจักจั่นได้มากถึง ๑๐ ตัวเเล้ว เเต่เด็กน้อย จอมซน ก็ยังสนอกสนใจ เเมงป่องตัวเขื่อง ที่เกาะอยู่ บนตอไม้ริมทาง

"อย่าจับข้านะ ข้ามีเหล็กในที่ร้ายกาจที่สุดรู้หรือไม่"

เเมงป่องร้องเตือน พลางชูหางขึ้นขู่ เเต่เด็กจอมซน กลับถามว่าทำไมตนต้องกลัวเหล็กในด้วย

เเมงป่องจึงว่าถ้าถูกต่อยด้วยเหล็กใน นอกจาก จะเจ็บปวดเเล้ว ยังจะต้องเสียจักจั่นนับสิบตัวอีกด้วย

เเต่ด้วยความซน เด็กน้อยจึงเอื้อมมือไปจับเเมงป่อง เเล้วก็ถูกเเมงป่องต่อยใส่มือจนปวดนัก ต้องสะบัดมือ โยนจักจั่นทั้งหมดทิ้งไป



นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

ความไม่รู้จักพออาจนำหายนะมาให้

[ตำนาน นิทาน เรื่องเล่า]

47.นิทานอีสป เรื่อง เเม่กวางกับลูก [ตำนาน นิทาน เรื่องเล่า]

[ตำนาน นิทาน เรื่องเล่า]

เเม่กวางพาลูกน้อยออกไปหาอาหารที่ชายป่า ครั้นพอ ได้ยินเสียงหมาล่าเนื้อ เเม่กวางก็รีบชวนลูกวิ่งหนีเตลิด เข้าป่าทันที

เเม่กวางจึงถามเเม่ว่า

"ทำไมเเม่ต้องกลัวหมาล่าเนื้อด้วยล่ะจ๊ะ ในเมื่อเเม่ ตัวโตกว่า ว่องไวกว่า เเล้วก็ยังมีเขาเเหลมๆ ที่เจ้าหมา ไม่มีอีกด้วย"

เเม่กวางฟังเเล้วก็ถอนใจเฮือกหนึ่งก่อนจะบอกลูก ตามตรงว่า

"เเม่ก็ไม่รู้ว่าทำไมต้องกลัวมัน เเต่เห็นสัตว์อื่นๆ ก็กลัวมันนะลูก เเค่ได้ยินเสียงมันเห่ามาเเต่ไกลก็ต้องวิ่ง ทุกทีเลยล่ะจ้ะ"



นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

คนที่ไม่เคยคิดสู้ ย่อมมีเเต่ความกลัวตลอดไป

[ตำนาน นิทาน เรื่องเล่า]