Tuesday, July 27, 2010

ฉันได้เรียนรู้ว่า

ฉันได้เรียนรู้ว่า... ยากล่อมประสาทที่ดีที่สุด คือ สติสัมปชัญญะนั่นเอง

ฉันได้เรียนรู้ว่า... การฟังเพลงเบาๆ ในยามโศกเศร้านั้น ช่วยบรรเทาความทุกข์ในใจให้เบาบางลงไปได้อย่างมากมาย

ฉันได้เรียนรู้ว่า... คุณหาเงินได้มากขึ้น แต่ไม่สามารถหาเวลาเพิ่มได้

ฉันได้เรียนรู้ว่า... หากเราละเลยความผูกพันกับพ่อแม่แล้วไซร้ เราจะหวนไห้คิดถึงท่านเจียนตายยามเมื่อท่านจากไป

ฉันได้เรียนรู้ว่า... อย่ากอดรัดลูกให้แน่นเกินไป มันอาจจะกลายเป็นการทำร้ายลูกทางอ้อม

ฉันได้เรียนรู้ว่า... ผู้หญิงทุกคนอยากได้รับดอกไม้กันทั้งนั้น โดยเฉพาะเวลาที่ไม่ใช่โอกาสพิเศษ

ฉันได้เรียนรู้ว่า... การได้รักและถูกรัก เป็นความรื่นรมย์อันยิ่งใหญ่ทีสุดในโลก

ฉันได้เรียนรู้ว่า... คุณอาจรักใครบางคน ทั้งที่ไม่ได้ชอบเขามากมายก็ได้

ฉันได้เรียนรู้ว่า... ยังมีสิ่งหนึ่งที่เจ็บปวดไปมากกว่าความเกลียดชัง นั่นคือ ความเมินเฉย

ฉันได้เรียนรู้ว่า... แม้ฉันจะต้องเจ็บปวด แต่ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องอยู่อย่างเจ็บปวดเสมอไป

ฉันได้เรียนรู้ว่า... ความเอื้ออาทรนั้น เพียบพร้อมสำคัญกว่าความบริบูรณ์เสียอีก

ฉันได้เรียนรู้ว่า... การลืมสิ่งที่ผิดพลาดไปแล้วนั้น สำคัญพอกับการจดจำสิ่งที่ดีงามเอาไว้

ฉันได้เรียนรู้ว่า... การคาดเดานั้น มักจะเลิศหรูกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจริงเสมอ

ฉันได้เรียนรู้ว่า... ฉันไม่อาจคาดหวังผู้อื่นให้แก้ปัญหาของฉันได้

ฉันได้เรียนรู้ว่า... เมื่อสิ่งเลวร้ายผ่านเข้ามา คุณจะปล่อยให้มันสร้างความขมขื่นใจให้คุณหรือใช้มันเป็นพลังทำให้คุณเข้มแข็งขึ้นได้

ฉันได้เรียนรู้ว่า... ถึงเราจะเปลี่ยนแปลงอดีตไม่ได้ แต่เราปล่อยให้มันผ่านไปได้

ฉันได้เรียนรู้ว่า... หากต้องการคำตอบที่ดี ก็ควรถามคำถามที่ดีด้วย

ฉันได้เรียนรู้ว่า... ระดับความมั่นใจในตัวเองของคนๆ หนึ่ง จะเป็นตัวบอกของระดับความสำเร็จของเขาด้วย

ฉันได้เรียนรู้ว่า... อาจจะมีใครที่รักคุณอย่างจริงจังอยู่ก็ได้ เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะแสดงออกให้คุณรู้ได้อย่างไร

ฉันได้เรียนรู้ว่า... ในที่สุดแล้ว ผู้รับจะเป็นผู้แพ้ และผู้ให้นั่นแหละคือผู้ชนะ

ฉันได้เรียนรู้ว่า... การเรียนรู้ที่จะให้อภัยนั้น ต้องการการฝึกฝน

ฉันได้เรียนรู้ว่า... คนไม่อาจเป็นวีรบุรุษได้ โดยไม่รู้จักลงมือทำ

ฉันได้เรียนรู้ว่า... เคล็ดลับของการเติบโตอย่างสง่าผ่าเผย คือ อย่าหมดความกระตือรือล้นที่จะพบหาผู้คนและสถานที่ใหม่ๆ

ฉันได้เรียนรู้ว่า... การซื่อสัตย์ต่อสิ่งเล็กน้อย ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยเลย

ฉันได้เรียนรู้ว่า... สิ่งดีๆ นั้น มักเกิดขึ้นกับคนดีเสมอ

ฉันได้เรียนรู้ว่า... การจากเพื่อนที่ใกล้ชิดที่สุดนั้น เป็นเรื่องยากกว่าที่ฉันเคยคิดเอาไว้มาก

ฉันได้เรียนรู้ว่า... การเยียวยารักษามิตรภาพที่บอบช้ำนั้น ทำเมื่อไรก็ไม่สาย

ฉันได้เรียนรู้ว่า... การที่จะรู้ค่าอะไรสักอย่างนั้น คุณจะต้องขาดมันไปสักพักก่อน

Sunday, July 25, 2010

40 ข้อคิดสะกิด "ความรัก"

40 ข้อคิดสะกิด "ความรัก"


ความรัก มี ความลับเป็นของตัวเอง จะเข้าใจก็เมื่อพบเจอ แม้จะมีแง่มุมซับซ้อนและไม่อาจคาดเดา แต่คนจำนวนมากก็ไม่เคยครั่นคร้าม และเดินหน้าเข้าหาความรักอยู่ตลอดเวลา
เพื่อจะได้รู้จักความรักและความสัมพันธ์ให้มากยิ่งขึ้น ลองอ่าน 40 ข้อคิดสะกิดใจ ต่อไปนี้ดู

1. อารมณ์หึงเกิดขึ้นได้ทั้งชายและหญิง แต่อารมณ์หึงของผู้หญิงจะซับซ้อนกว่า

2. ผู้ชายร้อยละ 90 ชอบผู้หญิงสวย น่ารัก แต่ผู้ชายร้อยละ 100 อยากอยู่กับผู้หญิงฉลาดและเฉลียว

3. คนที่มีแฟนขี้หึงขั้นรุนแรงมีเพียง 0.000001% เท่านั้นที่ชอบ นอกนั้นรู้สึกว่าอึดอัด

4. ไม่เคยมีคู่ไหนไม่ต้องใช้ความอดทนในการรัก เพียงแต่จะเป็นการอดทนในรูปแบบไหนเท่านั้นเอง

5. คนที่มีกิ๊ก คือคนที่ไม่ศรัทธาในความรัก

6. อย่ากลัวการอกหัก เพราะไม่เคยมีใครตายจากโรคอกหัก มีแต่ความอ่อนแอเท่านั้นที่ทำให้ฆ่าตัวตาย

7. ความรักมักไม่เกิดตอนที่เฝ้ารอ แต่เมื่อปล่อยตามสบาย ความรักมักจะโผล่มาทำเซอร์ไพรส์ให้หัวใจเต้นแรงเสมอๆ

8. ถึงจะไว้ใจเพื่อนแค่ไหน ก็อย่าให้เพื่อนกับแฟนของเราสนิทกันเกิน ไปเพราะรักแท้อาจแพ้ความใกล้ชิด

9. ถ้าเรารู้สึกอายเวลาเดินเคียงข้างแฟนที่ขี้เหร่ นั่นหมายความว่าเราไม่ได้รักเขาจริง

10. อย่าบ่นให้ใครฟังว่าแฟนไม่เคยทำตัวดีขึ้นเลย เพราะจะโดนย้อนว่า “แล้วจะโง่ทนคบอยู่ทำไม”

11. ถ้ารู้ตัวว่าเป็นคนที่ขี้หึงขั้นรุนแรง อย่าได้เลือกคบผู้ชายที่หน้าตาและมนุษยสัมพันธ์ดีเด็ดขาด

12. การที่ผู้ชายมองผู้หญิงสวย เซ็กซี่ จนเหลียวหลัง ไม่ได้หมายความว่าเข้าต้องการแฟนที่เป็นแบบนั้น

13. ผู้ชายที่ไว้ใจได้ ว่าไม่มีวันจะนอกใจแฟนหรือภรรยา มีเพียงแต่ผู้ชายที่อยู่ในโลงเท่านั้น ควรจำให้ขึ้นใจ

14. พยายามทำตัวให้ดีและมีคุณค่า มากกว่าเป็นเพียงผู้หญิงที่ถูกแฟนทิ้งไป แล้วสักวันแฟนเราจะกลับมาเอง

15. อย่าคบกับผู้ชายที่เอาเรื่องแฟนเก่ามาพูดเสียๆ หายๆ เพราะเราอาจจะเป็นรายต่อไป

16. ผู้ชายที่รักสัตว์ รักเสียงเพลง รักครอบครัว น่าคบมากกว่าผู้ชายที่รักตัวเองซะอีก

17. อายุที่มากขึ้นอาจทำให้ต้องลดเสปกชายในฝันลง แต่ข้อที่ไม่ควรลดเด็ดขาดก็คือ ความดีและความจริงใจ

18. ผู้ชายที่เกาะชายกระโปรงผู้หญิงกิน ดูน่ารังเกียจกว่าผู้หญิงที่ชอบปอกลอกผู้ชายหลายเท่า

19. มนุษย์ผู้ชายมีน้อยกว่ามนุษย์ผู้หญิง ผู้ชายที่ดีและเป็นโสดก็มีน้อยกว่าผู้ชายที่เลวและมีเจ้าของแล้วด้วย

20. อย่ารักผู้ชายที่ทั้งขี้เหร่ ขี้เกียจ และขี้เมา เพราะจะต้องรู้สึกตกนรกไปตลอดชีวิต

21. คู่รักที่เดินกอดจูบกันต่อหน้าชุมชน มีแต่ฝ่ายหญิงเท่านั้นที่จะถูกประณามและถูกดูถูกอย่างรุนแรง

22. เซ็กซ์ไม่สามารถผูกมัดให้คู่รักอยู่ด้วยกันไปตลอด ความผูกพันต่างหากที่จะดึงรั้งกันไว้ได้

23. อายุไม่ใช่อุปสรรคของความรัก ถ้าความคิดและความรู้สึกตรงกัน ความมั่นคงก็เกิดขึ้นได้

24. ในชีวิตรักจริงๆ ไม่ต้องเป็นนางเอกที่แสนดีตลอดเวลา บางทีต้องมีการใช้ไหวพริบในการแย่งชิงบ้าง

25. คนสวยหรือคนหล่อสามารถอกหักได้เหมือนกัน ถ้าทำตัวไม่ดีหรือมีเวลาให้กับความรักไม่พอ

26. ถึงจะได้ยินว่า ‘ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์’ แต่คนส่วนใหญ่ก็ยังเลือกวิ่งหาความรักมากกว่าจะอยู่เป็นโสด

27. เรื่องที่แฟนไม่ยอมเล่าให้ฟังตั้งแต่แรก มักเป็นเรื่องที่เรารู้เมื่อไหร่ ก็ต้องควันออกหูทันที

28. ถ้าชื่นชมในตัวแฟน 100% ควรบอกเขาแค่ 70%

29. ถึงผู้ชายจะบอกว่าไม่ชอบผู้หญิงแต่งหน้า แต่ผู้ชายก็ไม่ชอบคนที่หน้ามันหรือซีดตลอด

30. ผู้ชายมักจะชอบติรูปร่างของแฟนหรือคนโน้นคนนี้ โดยลืมดูรูปร่างตัวเองว่าแย่ขนาดไหนเสมอ

31. คนต่างชาติต่างภาษาสามารถรักกันได้ เพราะภาษาหัวใจเป็นภาษาสากลที่ไม่ต้องการคำแปล

32. ผู้ชายต้องใช้สมองและทักษะมากขึ้นในช่วงที่มีความรัก เพราะผู้หญิงมักปากไม่ตรงกับใจ

33. ผู้ชายชอบเป็นฝ่ายไล่ล่ามากกว่าจะเป็นฝ่ายถูกล่า ฉะนั้น จึงไม่แปลกที่เขาพยายามจะหนีเมื่อถูกตามตื๊อ

34. ผู้หญิงอาจไม่ได้เรียกร้องอะไรมากขึ้น แต่เป็นเพราะผู้ชายไม่สามารถทำดีได้เสมอต้นเสมอปลาย ปัญหาขัดแย้งจึงมักจะเกิดจากเหตุนี้แหละ

35. รักแรกพบสามารถเกิดได้แค่ 10% นอกนั้นเกิดจากการใกล้ชิดและการเรียนรู้กันอย่างลึกซึ้ง

36. คนที่เรารักกับคนที่รักเราอาจไม่ใช่คนเดียวกัน เรื่องนี้สอนให้รู้ว่าคนเราบังคับหัวใจกันไม่ได้จริงๆ

37. ทุกคนจะเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นเมื่อมีความรัก และเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นอีก หลังจากอกหัก

38. มือที่สามสามารถเดินเข้ามาในชีวิตเราได้ตลอดเวลา ในความไว้ใจจึงควรมีความระวังรวมอยู่ด้วย

39. อย่ารีบมีแฟนหลังจากอกหัก เพราะเราจะแยกแยะไม่ออกว่านั่นเป็นความรัก การประชด หรือการฆ่าเวลา

40. คนที่รักกันไม่จำเป็นต้องเดินจับมือหรือคุยกันตลอดทาง แค่รู้สึกว่ามีกันและกันก็เพียงพอ

ข้อคิด ข้อเตือนใจ เรื่องความรัก

ข้อคิด ข้อเตือนใจ เรื่องความรัก

1. การรักและไม่ได้รับรักตอบ เป็นทุกข์ แต่สิ่งที่ทุกข์ยิ่งกว่า คือการรักใครสักคน แต่ไม่มีความกล้าพอที่จะบอกให้คนคนนั้นรู้ และต้องมาเสียใจภายหลัง

2. พระเจ้าอาจจะต้องการให้เราพบคนที่ไม่ใช่..ก่อนที่จะมาพบคนที่ใช่ เพื่อเวลาเราพบคนคนนั้นแล้ว เราจะได้รู้สึกซาบซึ้งถึงพรที่ท่าน ประทานมา

3. ความรักคือความรู้สึกที่คุณยังห่วงใยใครสักคนอยู่ แม้จะแยกความ รู้สึก ความลุ่มหลง และความสัมพันธ์แบบรักใคร่ออกไปแล้ว

4. สิ่งที่น่าเศร้าในชีวิต คือการพบคนที่มีความหมายอย่างมากสำหรับเรา แต่มาค้นพบภายหลังว่าเราไม่ได้ถูกกำหนดมาเพื่อสิ่งนั้น และจะต้องปล่อยให้ผ่านพ้นไป

5. เมื่อประตูแห่งความสุขปิดลงประตูแห่งความสุขบานอื่นก็จะเปิดขึ้นแต่เราก็มัว แต่มองประตูที่ปิดลงไปแล้วเนิ่นนานจนกระทั่งเรามองไม่เห็นประตูที่เปิดไว้รอ

6. เพื่อนที่ดีที่สุดคือคนที่คุณสามารถนั่งอยู่ริมระเบียงด้วยกันโดยไม่พูดอะไร กันสักคำ แต่สามารถเดินจากไปด้วยความรู้สึกเหมือนได้คุยกัน อย่างประทับใจที่สุด

7. เป็นความจริงที่เราไม่สามารถรู้เลยว่าเรามีอะไรอยู่จนกว่าเราจะสูญเสียมันไป แต่ก็จริงอีกเช่นกันที่เราไม่รู้ว่าเราพลาดอะไรไปบ้างจนกระทั่งสิ่งนั้นเข้า มาหาเรา

8. การมอบความรักทั้งหมดให้ใครสักคนไม่ได้เป็นหลักประกันว่าเขาจะรักเราตอบ อย่าหวังที่จะได้รักตอบ แต่จงรอให้มันงอกงามขึ้นในหัวใจเขา แต่ถ้ามันไม่ได้เป็นเช่นนั้น ให้พอใจว่าอย่างน้อยมันก็ได้งอกงามขึ้นในใจของเราเอง

9. มีสิ่งที่คุณต้องการจะได้ยิน แต่คุณจะไม่ได้ยินมันจากปากของคนที่คุณอยากได้ยิน แต่อย่าทำตัวเป็นคนหูหนวกโดยไม่รับฟังสิ่งนั้นจากคนที่เขาบอกกับคุณจากหัวใจ

10. อย่าบอกลาถ้าคุณยังต้องการจะพยายามต่อไป อย่าท้อใจถ้าคุณยังรู้สึกว่าคุณไปไหว อย่าพูดว่าคุณไม่รักคนคนนั้นอีกแล้ว ถ้าคุณไม่สามารถทำใจ

11. ความรักมักมาเยือนผู้ที่ยังคงหวัง ถึงแม้ว่าจะผิดหวัง และมาเยือนผู้ที่ยังคงเชื่อ ถึงแม้ว่าจะถูกทรยศหักหลัง และจะมาเยือนผู้ที่ยังคงรัก ถึงแม้จะเคยเจ็บปวดมาก่อน

12. การที่เราจะประทับใจใครนั้นใช้เวลาแค่เพียงนาที การที่เราจะชอบใครใช้เวลาเพียงแค่ชั่วโมง การที่เราจะรักใครใช้เวลาเพียงชั่ววัน แต่การที่จะลืมใครนั้นต้องใช้เวลาชั่วชีวิต

13. อย่ามองใครจากหน้าตา เพราะมันอาจหลอกเราได้ อย่ามองใครจากความร่ำรวย เพราะมันไม่จีรังยั่งยืน ให้มองหาคนที่ทำให้คุณยิ้มได้ เพราะเพียงยิ้มเดียว สามารถทำให้วันที่หม่นหมองกลับสดใส ขอให้คุณพบคนที่ทำให้คุณยิ้มได้

14. มีช่วงเวลาในชีวิตที่คุณคิดถึงใครสักคนจนกระทั่งอยากดึงเขา มาจากความฝันเพื่อกอดเอาไว้ขอให้คุณได้ฝันถึงคนพิเศษนั้น

15. ฝันถึงสิ่งที่คุณต้องการฝัน ไปในที่ที่คุณต้องการไป เป็นในสิ่งที่คุณต้องการเป็น เพราะคุณมีเพียงชีวิตเดียว และมีโอกาสเดียวที่จะทำทุกสิ่งที่คุณต้องการ

16. ขอให้คุณมีความสุขมากพอที่จะทำให้คุณเป็นคนอ่อนหวาน ผ่านการทดสอบมามากพอที่จะทำให้คุณเข้มแข็ง มีความเศร้าโศกพอที่จะทำให้คุณยังคงความเป็นมนุษย์ และมีความหวังมากพอที่จะทำให้คุณเป็นสุข

17. เอาใจเขามาใส่ใจเรา ถ้าคุณรู้สึกว่าสิ่งนั้นจะทำให้คุณเจ็บปวด รู้ไว้เถอะว่าคนอื่นก็เจ็บปวดจากสิ่งเดียวกันเช่นกัน

18. คำพูดที่ไม่ได้ยั้งคิดอาจก่อให้เกิดความขัดแย้ง คำพูดที่โหดร้ายอาจทำลายชีวิต คำพูดที่เหมาะกาละเทศะอาจลดความเครียด คำว่ารักอาจเยียวยาและทำให้มีสุข

19. จุดเริ่มของความรักคือการปล่อยให้คนที่เรารักเป็นตัวของตัวเอง อย่าดึงเขาจากภาพความเป็นเขา มิฉะนั้นจะหมายความว่ามันเป็นเพียงภาพสะท้อนของตัวเรา ที่ปรากฎในพวกเขา

20. คนที่มีความสุขที่สุดไม่ได้หมายความว่าเขามีสิ่งที่ดีที่สุด เพียงแต่เขาสามารถทำสิ่งที่เขามีให้ดีที่สุดได้ต่างหาก

21. ความสุขรออยู่เบื้องหน้าผู้ที่มีน้ำตา ผู้ที่เจ็บปวด ผู้ที่ค้นหา และผู้ที่ พยายามแล้ว เพราะมีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่รู้จักคุณค่า-ของผู้คนที่ได้สัมผัสชีวิต

22. ความรักเริ่มต้นด้วยรอยยิ้ม งอกงามด้วยรอยจูบ และจบลงด้วยคราบน้ำตา

23. อนาคตที่สดใสมีรากฐานอยู่บนอดีตที่แสนเจ็บปวด คุณไม่สามารถดำเนินชีวิตต่อไปได้ดี ถ้าหากไม่รู้จักปล่อยวางความผิดพลาดในอดีต และความปวดใจ

24. คุณร้องไห้ตอนคุณเกิดในขณะที่คนรอบข้างกำลังยิ้ม จงมีชีวิตอยู่เพื่อเมื่อตอนคุณตาย คุณจะเป็นคนที่ยิ้ม ในขณะที่คนรอบข้างร้องไห้ให้คุณ

25. ความรักก็เหมือนกับการเสี่ยง คุณอาจจะต้องพบกับความล้มเหลว แต่ถ้าคุณไม่เสี่ยง คุณก็อาจจะต้องพบกับความล้มเหลวตลอดไป

26. ความรัก มักเหมือนแก้วบาง ถ้าหากคุณมือหนัก แก้วที่คุณถือ ก็อาจจะต้องแตกร้าวทุกครั้งที่คุณใช้มัน

27. ความรัก ง่ายที่เราจะหามัน แต่ยากที่จะรักษาเอาไว้ให้คงอยู่ตลอดไป

ข้อคิดในการใช้ขีวิต

ข้อคิดในการใช้ขีวิต

1. อย่าทำลายความหวังของใครเพราะเขาอาจเหลืออยู่แค่นั้นก็ได้
2. เมื่อมีคนเล่าว่าตัวเขามีส่วนในเหตุการณ์สำคัญอะไรก็ตามเราไม่ต้องไปคุยทับปล่อยเขาฟุ้งไปตามสบาย
3. รู้จักฟังให้ดี โอกาสทองบางทีมันก็มาถึงแบบแว่ว ๆเท่านั้น
4. หยุดอ่านคำอธิบายสถานที่ทางประวัติศาสตร์ซึ่งอยู่ตามริมทางเสียบ้าง
5. จะคิดการใดจงคิดการให้ใหญ่ๆเข้าไว้แต่เติมความสุขสนุกสนานลงไปด้วยเล็กน้อย
6. หัดทำสิ่งดี ๆให้กับผู้อื่นจนเป็นนิสัยโดยไม่จำเป็นต้องให้เขารับรู้
7. จำไว้ว่าข่าวทุกชนิดล้วนถูกบิดเบือนมาแล้วทั้งนั้น
8. เวลาเล่นเกมกับเด็ก ๆ ก็ปล่อยให้แกชนะไปเถิด
9. ใครจะวิจารณ์เรายังไงก็ช่าง ไม่ต้องไปเสียเวลาตอบโต้
10. ให้โอกาสผู้อื่นเป็นครั้งที่ "สอง"แต่อย่าให้ถึง"สาม"
11. อย่าวิจารณ์นายจ้างถ้าทำงานกับเขาแล้วไม่มีความสุขก็ลาออกซะ
12. ทำตัวให้สบาย อย่าคิดมาก ถ้าไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายแล้วอะไร ๆ มันก็ไม่ได้สำคัญอย่างที่คิดไว้ทีแรกหรอก
13. ใช้เวลาน้อย ๆ ในการคิดว่า "ใคร" เป็นคนถูกแต่ใช้เวลาให้มากในการคิดว่า "อะไร" คือสิ่งที่ถูก
14. เราไม่ได้ต่อสู้กับ "คนโหดร้าย" แต่เราต่อสู้กับ "ความโหดร้าย" ในตัวคน
15. คิดให้รอบคอบก่อนจะให้เพื่อนต้องมีภาระในการรักษาความลับ
16. เมื่อมีใครสวมกอดคุณ ให้เขาเป็นฝ่ายปล่อยก่อน
18. เป็นคนถ่อมตนคนเขาทำอะไรต่ออะไรสำเร็จกันมามากมายแล้วตั้งแต่เรายังไม่เกิด
19. ไม่ว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์อันเลวร้ายเพียงใด...สุขุมเยือกเย็นเข้าไว้
20. อย่าไปหวังเลยว่าชีวิตนี้จะมีความยุติธรรม
21. อย่าให้ปัญหาของเราทำให้คนอื่นเขาเบื่อหน่ายถ้ามีใครมาถามเราว่า "เป็นยังไงบ้างตอนนี้" ก็บอกเขาไปเลยว่า "สบายมาก"
22. อย่าพูดว่ามีเวลาไม่พอ เพราะเวลาที่คุณมีมันก็วันละยี่สิบสี่ชั่วโมงเท่าๆกับที่ หลุยส์ ปาสเตอร์ , ไมเคิลแอนเจลโล , แม่ชีเทเรซา, ลีโอนาร์โด ดา
วินชี, ทอมัส เจฟเฟอร์สัน หรืออัลเบิร์ต ไอสไตน์ เขามีนั่นเอง
23. เป็นคนใจกล้าและเด็ดเดี่ยวเมื่อเหลียวกลับไปดูอดีตเราจะเสียใจในสิ่งที่อยากทำแล้วไม่ได้ทำมากกว่าเสียใจในสิ่งที่ทำไปแล้ว
24. ประเมินตนเองด้วยมาตรฐานของตัวเอง ไม่ใช่ด้วยมาตรฐานของคนอื่น
25. จริงจังและเคี่ยวเข็ญต่อตนเอง แต่อ่อนโยนและผ่อนปรนต่อผู้อื่น
26. อย่าระดมสมอง เพราะไอเดียดี ๆ ใหม่ ๆ และยิ่งใหญ่จนสามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้ล้วนมาจากบุคคลที่คิดค้นอยู่แต่เพียงผู้เดียวทั้งสิ้น
27. คงไว้ซึ่งความเป็นคนเปิดเผย อ่อนโยน และอยากรู้อยากเห็น
28. ให้ความนับถือแก่ทุกคนที่ทำงานเพื่อเลี้ยงชีพ ไม่ว่างานที่เขาทำนั้นจะกระจอกงอกง่อยสักปานใด
29. คำนึงถึงการมีชีวิตให้ "กว้างขวาง" มากกว่าการมีชีวิตให้ "ยืนยาว"
30. มีมารยาทและอดทนกับคนที่สูงวัยกว่าเสมอ คุณทำอย่างนั้นอยู่หรือเปล่า?

Wednesday, July 21, 2010

คำคมๆ

ถ้ามีขุนเขาขวางท่านอยู่ข้างหน้า อย่าเสียเวลาย้ายขุนเขา
"แต่จงย้ายตัวเอง ''

ชาวประมงกับนักลงทุน

นักลงทุนชาวอเมริกัน..กำลังยืนอยู่ที่ท่าเรือ
ณ ชายฝั่งหมู่บ้านเม็กซิกัน..แห่งหนึ่ง

ขณะที่มีเรือประมงลำหนึ่ง..เข้ามาจอด
แล้วเขาก็ได้เห็น..ปลาโอครีบเหลืองกองโตๆ.. วางอยู่บนเรือลำนั้น

ชาวอเมริกัน..เอ่ยชมชาวประมงท้องถิ่นว่า..จับปลาได้เก่ง

ก่อนจะถามว่า..

“คุณใช้เวลาในการจับปลาพวกนี้นานไหม?”

ชาวประมงตอบว่า..

“ครู่เดียวเท่านั้นล่ะครับ”

“อ้าว ถ้าอย่างนั้น.. ทำไมไม่อยู่นานอีกหน่อย.. เพื่อจะได้ปลามามากกว่านี้ล่ะ?”

คนถูกถามตอบเรียบๆ

“นี่ก็พอเลี้ยงครอบครัวในวันนี้แล้วครับ”

“แล้วคุณเอาเวลาที่เหลือไปทำอะไรล่ะ”
นักลงทุนถาม

“ผมก็ยุ่งทั้งวันแหละครับ ..นอนตื่นสายๆ.. จับปลาวันละนิดละหน่อย ..เล่นกับลูกๆ ..นอนพักกลางวันกับมาเรีย ..ภรรยาของผม ..เดินเล่นในหมู่บ้าน.. จิบไวน์และเล่นกีตาร์กับเพื่อนฝูงในตอนเย็น”

คนอเมริกันจึงพูดอย่างกระหยิ่มว่า..

“ผมจบเอ็มบีเอจากฮาร์วาร์ดมา ..ผมให้คำแนะนำคุณได้นะ.. อันดับแรกก็คือ.. คุณน่าจะจับปลาให้เยอะกว่านี้ ..เพื่อจะได้ซื้อเรือลำโตๆ ...ผลจากการที่มีเรือลำโตๆ... ก็จะทำให้คุณมีเงินมากพอ...ที่จะซื้อเรือเพิ่มขึ้น

จากนั้น..คุณก็นำปลาที่หาได้ ..ไปขายให้โรงงานเสียเอง.. ซึ่งคุณก็จะควบคุมได้ทั้งหมด ..นับตั้งแต่กระบวนการผลิต.. ผลผลิต ..ตลอดจน..การจัดจำหน่าย..

ถึงตอนนั้น.. คุณก็สามารถย้ายจากหมู่บ้านชาวประมงเล็กๆ แห่งนี้ ..ไปอยู่ที่เมืองเม็กซิโกซิตี้..จากนั้นก็ขยับขยาย ..ย้ายไปแอลเอ.. แล้วไปยังนิวยอร์ก ..ที่ซึ่งคุณสามารถขยายกิจการให้เจริญรุ่งเรืองได้ยิ่งขึ้น”

เมื่อฟังมาถึงตอนนี้.. ชาวประมงก็ถามว่า..

“แล้วทั้งหมดนี้..ต้องใช้เวลาสักกี่ปี”

“15-20 ปี”

“จากนั้นล่ะ?”

คนอเมริกันหัวเราะร่วน..และบอกว่า ..
“ที่นี้..ก็จะถึงช่วงที่สำคัญที่สุดในชีวิตล่ะ... เมื่อมีโอกาสเหมาะ คุณก็ทำหนังสือชี้ชวนขายหุ้น... เพื่อขายหุ้นทั้งหมดแก่สาธารณะ...แล้วคุณก็จะกลายมาเป็นมหาเศรษฐี... อาจทำเงินได้เป็นล้านๆ เหรียญเลยก็ได้นะ”

“เป็นล้านๆ..แล้วยังไงล่ะ?”

คนอเมริกัน..แจกแจงต่ออย่างเพลิดเพลิน
“จากนั้น..คุณก็ค่อยเกษียณตัวเอง ..ย้ายไปอยู่ที่หมู่บ้านชาวประมงเล็ก ๆ ...นอนตื่นสายๆ ...ตกปลาวันละเล็กๆ น้อยๆ.. เล่นกับลูก ๆ ...นอนพักกลางวันกับภรรยาที่บ้าน... ตอนเย็นก็เดินเล่นในหมู่บ้าน ..จิบไวน์ ..และเล่นกีตาร์กับเพื่อนฝูง....”

3 สิ่งในชีวิตเราที่ไม่สามารถเรียกร้องกลับคืนมาได้

3 สิ่งในชีวิตเราที่ไม่สามารถเรียกร้องกลับคืนมาได้ . . .


Three irrevocable *ings in your life are . . .
3 สิ่งในชีวิตเราที่ไม่สามารถเรียกร้องกลับคืนมาได้ . . .
Word... คำพูด
Time...เวลา
and Chance ...โอกาส


Three undeniable *ings in your life are. . .
3 สิ่งที่ควรมีในชีวิตเราคือ
Serenity... ความสงบ
Honesty... ความซื่อสัตย์
and Hope... ความหวัง

Three gems of your life are . . .
สิ่งที่มีค่า 3 สิ่งในชีวิตเรา คือ
Love ... ความรัก
self-esteem ... เคารพตัวเอง
and true friends. ... และเพื่อนแท้

Three uncertainties in your life are . . .
ความไม่แน่นอนในชีวิต 3 อย่าง คือ
dreams. . . ความฝัน
success . . . ความสำเร็จ
and fate. .. และโชคชะตา

Three *ings *at deteriorate your life are . . .
3 สิ่งที่เป็นบ่อนทำลายชีวิตเรา คือ
liquor. . . สุรา
arrogance .. .ความหยิ่งผยอง
and anger. .. และความโกรธ


* Kind hearts are *e garden . . .
จิตใจดีเป็นดั่งสวน

Kind *oughts are *e roots . . .
ความคิดดีเป็นรากไม้

Kind deeds are *e fruits . . .
การกระทำดีเปรียบเหมือนผลไม้

Kind words are *e blossoms. . .
คำพูดดี เป็นดั่งดอกไม้บานสพรั่ง

Saturday, July 17, 2010

ทฤษฎีกบต้ม (The Boiled Frog Theory)

ชาวไอริชผู้หนึ่งชื่อ Tichyand Sherman (1993) ทำการเปรียบเทียบปฏิกิริยาตอบสนองของกบ โดย เอากบตัวหนึ่งใส่ลงไปในน้ำร้อน ปรากฏว่ามันรีบกระโดดหนีโดยทันทีจากอันตรายนั้น รอดมาได้อย่างหวุดหวิด แต่สำหรับกบอีกตัวหนึ่ง ที่ถูกใส่ลงไปน้ำปกติ มันก็จะเล่นอย่างสบายใจเฉิบ แล้วเขาค่อยๆเพิ่มความร้อนเข้าไปทีละนิดทีละหน่อย ในตอนแรก มันก็จะปรับตัวให้เข้ากับอุณหภูมิที่ร้อนขึ้น โดยไม่รู้ว่าภัยร้ายใกล้จะมาถึงตัวแล้ว และเมื่อน้ำร้อนได้ที่แล้ว มันก็กลายเป็นกบต้มสุก ไม่สามารถหนีรอดออกมาได้ กว่าจะรู้ตัวก็สายไปเสียแล้ว

ด้วยสัญชาติญาณของการเอาตัวรอด กบจะรอดได้ต้องไวต่อความเปลี่ยนแปลงโดยเร็ว
เรื่องต้มกบ หรือ กบต้ม เป็นการทดลองที่บ่งบอกให้เราต้องรู้จักปรับตัวต่อความเปลี่ยนแปลงโดยเร็ว บ่อยครั้งที่เรามักจะเฉื่อยชาต่อความเปลี่ยนแปลงใดๆที่เกิดขึ้น ซึ่งมักจะค่อยๆเปลี่ยนแปลงทีละเล็กละน้อย แต่มันก็เป็นสัญญาณเตือนให้ระวัง จงอย่าตายใจในสิ่งที่เปลี่ยนแปลงนะครับ


ยกตัวอย่างเช่น ในทุกๆปี น้ำที่กักเก็บลดลงทีละนิ้ว สองนิ้ว เราก็จะรู้สึกว่า “ไม่เป็นไร” เพราะมันยังมีน้ำอยู่ น้ำพร่องไปหน่อย ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าจู่ๆ น้ำที่กักเก็บรั่วหายไปหมดล่ะ จะรู้สึกอย่างไร เป็นอุทาหรณ์ให้รู้ว่า ต้องหมั่นสังเกตสิ่งที่เกิดขึ้นรอบๆตัวเราและอย่า “เฉื่อยชา” ต่อสิ่งที่กำลังเปลี่ยน

ในเชิงธุรกิจ พบว่าหลายๆบริษัทปิดตัวเองลง เพราะไม่ตระหนักถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น การปรับตัวจึงเป็นความจำเป็น ไม่ว่าจะเป็นการปรับโครงสร้างองค์กร หรือบทบาทหน้าที่ต้อง “ไว” ต่อสถานการณ์ของปัญหาที่อยู่ข้างหน้า

ผู้เขียน เคยสังเกตเห็นว่า หลายๆบริษัทมองข้ามคำร้องเรียนจากลูกค้า โดยมักเห็นว่า คำร้องเรียนจากลูกค้า ก็เคย “ข้อต่อรอง” นั่นเอง บางคนก็เห็นว่า เป็น “คำบ่น” ด้วยซ้ำไป ดังนั้น ผู้บริหารบางท่านจึงละเลย ไม่สนใจ ไม่นำพาต่อคำร้องเรียน เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆ แม้ว่า คำร้องเรียนจะเป็นเรื่องซ้ำๆที่เกิดขึ้นแล้วเกิดขึ้นเล่าก็ตาม ผลสะท้อนดังกล่าวนำมาซึ่งยอดขายลดลงทีละเล็กละน้อย ผู้บริหารก็ยังคงเห็นว่า เป็นธรรมดานั่นเอง แต่หารู้ไม่ว่า ในขณะที่ลูกค้าเริ่มไม่พอใจ ลูกค้าเริ่มหาช่องทางใหม่ ลองคิดดูว่า หากลูกค้าเจรจาหาคู่ค้าธุรกิจรายใหม่ได้สำเร็จ และยกเลิกการซื้อขายกับบริษัทโดยทันที จะเกิดอะไรขึ้นเตรียม

พร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลง
• เปิดทัศนคติให้ตระหนักว่า โลกภายนอกหมุนไปเร็วมาก “จงอย่าทำตัวเป็นกบในกะลา”
• สภาวะการณ์ที่จะอยู่รอดได้นั้น รองรับได้เพียงบางสถานการณ์เท่านั้น “แต่ทุกคนมีความอดทนอดกลั้นต่างกัน”
• ไม่มีกลุ่มใดที่จะแยกตัวอยู่ได้โดยลำพัง
• เมื่อเปิดประตูออกไปสู่โลกภายนอก สิ่งแปลกๆใหม่จะเข้ามากระทบ และเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
• หากคิดจะเปลี่ยน ให้กล้าเปลี่ยนแปลงตัวเองก่อน
• ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ย่อยไม่มีสิ่งใหม่ๆเกิดขึ้น

15 ข้อคิดดีๆ รักษาจิตใจ

1. คนเรามีความรู้สึกรัก ชอบ โกรธ เศร้า ไม่ต่างกัน ขึ้นอยู่กับว่าเวลาไหนมันจะแสดงออกมามากน้อยเพียงใดเท่านั้น "คน ที่จะหัวเราะได้เสียงดัง ข้างในคงต้องขำบ้างพอสมควร คนที่น้ำตาจะไหลได้ ข้างในคงมีเรื่องปวดร้าว....ถ้าไม่นับการร้องไห้ที่มาจากความปิติ"

2.โลกสอนมนุษย์ว่าทุกสิ่งต้องมีการเปลี่ยนแปลง...แต่โลกก็กลับสอนให้มนุษย์ผูกพัน

3. คนที่ตลกหัวเราะสดใส ก็คือคนเดียวกับคนที่สามารถร้องไห้ฟูมฟายได้ เพียงแต่คุณจะได้เห็นหรือเปล่าเท่านั้น อาจจะเคยได้ยินว่า "คนที่หัวเราะได้ดังที่สุด ก็คือคนที่สามารถร้องไห้ได้ดังที่สุดเช่นกัน"

4. เด็กๆ จะมองว่าผู้ใหญ่ซีเรียส ในขณะที่ผู้ใหญ่จะบอกว่า เด็กไร้สาระเพราะเด็กไม่เคยเป็นผู้ใหญ่มาก่อน วันหนึ่งเค้าคงจะรู้ว่าทำไมถึงต้องมีเรื่องซีเรียส สำหรับผู้ใหญ่ซึ่งได้ผ่านวัยเด็กมาแล้วอาจจะลืมไปว่า ณ วันที่ผ่านมา"
สาระ"ในชีวิตของเรา คืออะไร

5. ครอบครัวไทยมักจะเลี้ยงลูกผู้หญิงให้เป็นฝ่ายถูกเลือก คอยสั่งสอนให้ทำตัวเรียบร้อย ไม่อย่างนั้นจะไม่มีใครเลือกไปเป็นคู่ครอง.... แต่ความจริงแล้วผู้ชายและผู้หญิง เราต่างเลือกซึ่งกันและกันมากกว่า

6. เพื่อนที่ดีที่สุด คือคนที่คุณสามารถนั่งอยู่ริมระเบียงด้วยกันโดยไม่พูดอะไรกันซักคำ
แต่สามารถเดินจากไป ด้วยความรู้สึกเหมือนได้คุยกันอย่างประทับใจที่สุด

7.ใคร หลายคนไม่กล้าเข้าไปปลอบโยนให้คำปรึกษากับ เพื่อนเพราะคิดว่าเราไม่รู้จะบอก เค๊ายังไงเพราะเราเป็นแค่เพื่อน....แต่ความจริงแล้วคุณเป็นตั้งเพื่อนต่าง หาก

8. ผู้ชายที่ร้องไห้ และยอมรับว่าตัวเองร้องไห้เขาคือสุภาพบุรุษที่สุด อย่างน้อยการซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเอง... คือความกล้าหาญสุดยอด

9. ก่อนที่วันนี้ คุณจะทำความรู้จักกับผู้คนใหม่ๆ อย่าลืมสำรวจตัวเองก่อนว่า ในช่วงเวลาที่ผ่านมา... ทำใครหล่นหายไปจากชีวิตหรือเปล่า

10. เงินไม่ใช่พระเจ้า แต่ทำให้เรามีทางเลือกมากขึ้น

11. มีสติ สตางค์อยู่ ก็ปลีกเวลาไปใช้เสียบ้าง อีกหน่อยไม่มีสติแต่มีสตางค์...ก็สายไปเสียแล้ว

12. เวลาที่เรารักใคร เราจะรู้สึกตัวเล็กเ หลือเกิน...เวลาใครรักเรา เราจะรู้สึกตัวใหญ่เหลือเกิน...แต่ถ้าเราเจอคนที่เรารักเขาและเขาก็รักเรา เราจะผลัดกันตัวเล็กตัวใหญ่

13. วันที่คุณเข้มแข็งและแข็งแรงพอ อย่าลืมเป็นผู้ฟังที่ดีให้กับคนที่มีปัญหาด้วย "เอาไหล่ให้เขาพิง เอามือให้เขาจับ".....100 คำพูดดี ดี ไม่เท่ากับ 1 สัมผัสที่มีค่าหรอกนะ

14. คุณรู้ไหมว่า อายุคนเราเฉลี่ย 76 ปีนั่นคือแค่ 3,952 อาทิตย์เท่านั้นคุณหมดเวลาไปกับการนอนถึง 1317 อาทิตย์ ซึ่งเท่ากับว่าคุณเหลือเวลาที่ใช้ดำเนินชีวิตแค่ 2,635 อาทิตย์เท่านั้นเอง

15. ลองฉลองวันเกิดกับครอบครัวสักปี แล้วคุณจะได้รู้ว่า เมื่อตอนที่คุณร้องไห้จ้าในวันเกิดวันแรก คนในครอบครัวคุณมีความสุขกันขนาดไหน.......

Thursday, July 15, 2010

ความรวยไม่เคยปราณีใคร

ชายชาวอินเดียคนหนึ่ง เดินเข้าไปในธนาคารกลางเมืองนิวยอร์ค
ถามหาเจ้าหน้าที่สินเชื่อ ชายคนนี้บอกกับเจ้าหน้าที่สินเชื่อว่า

เขาจะต้องไปทำธุระที่ประเทศอินเดีย ประมาณ
2 สัปดาห์ก็เลยจะขอกู้เงินสัก170,000 บาท

เจ้าหน้าที่สินเชื่อบอกกับเขาว่า
การกู้ยืมเงินจะต้องมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน
ดังนั้นชายชาวอินเดียยื่นกุญแจรถเฟอร์รารี่รุ่นใหม่ล่าสุดที่จอดอยู่หน้า
ธนาคาร
พร้อมกับเสนอให้ใช้รถคันนี้เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน

เจ้าหน้าที่สินเชื่อจึงตกลงให้กู้เงินโดยใช้รถค้ำประกัน


ผู้จัดการธนาคาร กับเจ้าหน้าที่สินเชื่อ
ต่างก็ขบขันชายชาวอินเดียที่เอารถเฟอร์รารี่ราคา8,500,000 บาท
มาค้ำประกันเงินกู้ เพียงแค่
170,000 บาท

หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ธนาคารก็นำรถเฟอร์รารี่ขับเข้าไปจอดที่ลานจอดรถชั้นใต้ดินของธนาคาร


สองสัปดาห์ผ่านไป ชายชาวอินเดียก็กลับมาที่ธนาคารพร้อมด้วยเงิน
170,000 บาท
และดอกเบี้ยอีก
500 บาท นำมาชำระคืนให้กับธนาคาร

เจ้าหน้าที่สินเชื่อพูดว่า "ท่านครับ
เรารู้สึกดีใจมากที่่คุณจัดการธุระของคุณได้เสร็จเรียบร้อย
และการกู้เงินในครั้งนี้ก็เสร็จสิ้นไปได้ด้วยดี แต่ผมสงสัยอะไรนิดหน่อย

ตอนที่คุณไปแล้ว เราได้เช็คประวัติของคุณดู
ก็พบว่าคุณร่ำรวยเป็นอภิมหาเศรษฐีคนนึงเลย
แต่ทำไมคุณถึงต้องมากู้เงินกับเราแค่
170,000 บาทด้วย ล่ะครับ"

ชาวชาวอินเดียตอบกลับไปว่า "ไม่มีที่ไหนในนิวยอร์คอีกแล้ว

ที่ผมจะสามารถจอดรถทิ้งไว้ได้ถึง
2 สัปดาห์ ด้วยเงินเพียง500 บาท
พร้อมกับความมั่นใจเต็มร้อยว่ารถผมจะไม่หาย"

Thursday, July 8, 2010

พ่อครับ ขอยืมตังค์หน่อย‏


"พ่อครับ ขอยืมตังค์หน่อย"




เสร็จ จากงานถึงบ้าน เกือบสามทุ่มเข้าไปแล้ว เขาเดินเข้าบ้าน ที่ดูเงียบเหงา เนื่องจากภรรยาเสียชีวิตไปเมื่อปีกลาย ทิ้งลูกชายคนเดียวไว้ กับเขาให้หาเลี้ยงลูกตามลำพัง ดีว่าเจ้าหนูน้อยพอจะช่วยตัวเองได้บ้าง อาหารก็กิน อาหารปิ่นโต ที่ผูกประจำ หากินเองได้ ทำให้ไม่เป็นภาระมากมายนัก

เข้า มาในบ้าน เหงื่ออาบแก้ม ยังไม่ทันได้พัก ผู้เป็นพ่อ เห็นหน้าลูกชายวัยซน ที่รอรับหน้า เอ่ยปากทัก "พ่อครับ วันนี้ทำงานเหนื่อยมั้ยครับ"

"เหนื่อยสิลูก แล้ววันนี้ทำการบ้านเสร็จแล้วเหรอ" ผู้เป็นพ่อตอบเนือยๆ พร้อมกับถาม ต่อด้วยความเคยชิน

"เสร็จหมดแล้วครับ คือ ผมมีเรื่องบางอย่างอยากจะถามพ่อน่ะ พ่อว่างหรือยังครับ"
ลูกชาย ตัวน้อย ถามต่อ

"เดี๋ยว พ่อจะไปอาบน้ำ หาข้าวกินข้าวซักหน่อย แล้วคงจะเข้านอน วันนี้เหนื่อยเหลือเกิน ว่าแต่แกจะถามอะไรพ่อเหรอ" ผู้เป็นพ่อ ถามด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า

"คือผมอยากรู้ ว่า พ่อทำงานได้ ค่าจ้างวันละเท่าไร ครับ" ลูกชายถามด้วยน้ำเสียงใสซื่อ

หันมามองหน้าลูกชาย พร้อมกับขมวดคิ้วด้วยความสงสัย แล้วผู้เป็นพ่อ แต่ก็ตอบไปว่า " วันล่ะ สี่ร้อย"

"งั้นผม ขอยืม ตังค์ พ่อ ซักสองร้อยได้มั้ยครับ " ลูกชาย ตัวน้อย เอ่ยปากด้วยสายตาวิงวอน

"หา แกว่าไง นะ" ผู้เป็นพ่อ ขึ้นเสียงด้วยอารมณ์ ก่อนที่จะหันมา พูดกับลูกชายด้วยเสียงเข้มขึ้นกว่าเดิม

"นี่ ฟังนะ แกคิดว่าเงินทอง หาได้ง่ายๆเหรอ กว่าพ่อจะได้เงินสี่ร้อยบาท ต้องทำงาน เหนื่อยตั้งแต่เช้ายันค่ำ แต่พอกลับมาถึงบ้าน เจอแก รอขอยืมเงิน พ่อง่ายๆ แบบนี้นี่นะ แกลองไปคิดดูให้ดีสิ ว่า แกทำประโยชน์อะไรให้พ่อบ้าง พ่อถึงจะต้องให้ เงินสองร้อยนี่ ให้แกยืม"

เด็ก ชายยืนนิ่ง มองหน้าพ่อ ไม่มีเสียงหลุดออกจากปาก แต่น้ำตาไหลซึมลงอาบร่องแก้มทั้งสองข้าง ก่อนที่จะหันหลังเดินกลับห้องตัวเอง อย่างซึมเซา

หลัง จากอาบน้ำเสร็จ แวะเข้าครัว หาข้าวปลากินเรียบร้อย เขาหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบ เดินไปที่ระเบียง ความรู้สึกเคร่งเครียดที่ได้รับมาจากงานนอกบ้านเริ่มผ่อนคลาย คิดไปถึงอดีตที่ผ่านและงานที่ทำมาทั้งวัน แล้วก็ย้อนกลับคิดไปถึงลูกชายตัวน้อย

ลูกเป็นเด็กดี ไม่เคยเกเร ไม่เคยเอ่ยปากขอเงินเพิ่ม นอกจากเงินค่าขนมที่เขาให้ประจำวันเท่านั้น แต่วันนี้ทำไมถึงเอ่ยปากยืมเงิน

เมื่อ สักครู่ เขาเหนื่อยเกินไป หรือ เครียดเกินไปหรือป่าว ถึงได้ใช้อารมณ์กับลูกไปอย่างนั้น เมื่อได้คิด เขาดับบุหรี่ แล้วเดินไปที่ห้องลูกชายไฟในห้องนอนดับแล้ว

เมื่อ เปิดประตูเข้าไป เอื้อมมือเปิดไฟในห้อง หนูน้อยนอนตะแคงหน้า ตายังคงลืมจ้องมองมาที่ประตู แก้มที่แนบกับหมอน ชุ่มด้วยน้ำตา พร้อมเสียงสะอื้นเบาๆ อยู่คนเดียว

เขาเดินไปนั่งที่ขอบเตียงมือลูบผม ลูกชายเบาๆ พร้อมกับเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงเครือ จุกคอ

"พ่อ ขอโทษ นะลูก เมื่อกี้พ่อเหนื่อยมามากเลยใช้อารมณ์ กับลูกมากไปหน่อย จริงๆ ตะกี้พ่อไม่ได้ถามลูกด้วยซ้ำว่า ลูกอยากยืมเงินพ่อไปทำไม ลูกอาจจะมีเหตุจำเป็นที่จะต้องใช้เงินก็ได้ เงินแม้ว่าจะหาได้ลำบาก ไม่ได้ได้มาง่ายๆ แ ต่ถ้าลูกมีเหตุผลเพียงพอ พ่ออาจจะให้ยืมก็ได้ เพราะว่า ลูก น่ะสำคัญสำหรับพ่อเหนือ สิ่งอื่นใด และพ่อรักลูกจ้ะ"

"ว่าแต่ ไหนลูกลองบอกพ่อสิว่า ลูกอยากยืมเงินสองร้อยไปทำอะไร" ผู้เป็นพ่อถามลูกชายที่มองหน้าพ่อนิ่ง ด้วยน้ำเสียงปราณี เต็มเปี่ยมด้วยความรัก

ลูก ชายตัวน้อย ส่งเสียงสะอื้นจากลำคอ "พ่อครับ ตั้งแต่แม่ตาย ผมเห็นพ่อต้องทำงานหนัก เพื่อหาเงินทุกวัน จนไม่ได้พัก ไม่ได้อยู่กับผมเลย เราแทบไม่มีเวลาได้อยู่ด้วยกัน ผมเลย ค่อยๆ เก็บค่าขนมของผมไว้ตลอดมา จนถึงตอนนี้ผมเก็บได้สองร้อยบาทแล้ว แต่พอผมรู้จากพ่อว่า พ่อทำงานได้ ค่าจ้างวันล่ะสี่ร้อย ผมจึงอยากยืมพ่อเพิ่มอีกสองร้อย ให้เป็นสี่ร้อย เพื่อจะได้ใช้เป็นค่าจ้างให้พ่อได้พัก ได้อยู่กับผม ซักวันนึงครับ"

เงินทอง อาจจะจำเป็น ต่อการดำรงชีวิต
แต่ ครอบครัว ยังคงต้องการ ความรัก ความอบอุ่น และ เวลาที่มีให้ แก่กัน
"อย่าห่วงงานจนลืม ครอบครัว และ คนที่คุณรัก
"

Wednesday, July 7, 2010

สัณชาติญาณของแมงป่อง จาก ท่าน ว.วชิรเมธี‏

เร็วๆ นี้มีลูกศิษย์คนหนึ่งมาเล่านิทานให้ผู้เขียนฟัง
พอได้ฟังแล้วก็ทำให้เกิดความสว่างโพลงในหัวใจได้ไม่น้อย
คุณน่าจะได้ฟังนิทานเรื่องนี้ดู บางทีอาจจะทำให้หายข้องใจได้บ้างว่า
คนบางคนนั้น เขามี "" ธาตุแท้ "" ของเขามาอย่างนั้นเอง

นิทานนั้นมีอยู่ว่า ......
มีอยู่วันหนึ่ง เจ้าแมงป่องตัวหนึ่ง
ไต่ไปมาตามริมฝั่งน้ำจนเซ็งชีวิต เลยเกิดความคิดขึ้นมาว่า
ถ้าได้ข้ามน้ำไปยังฝั่งโน้น
คงมีอะไรให้ทำมากกว่าการไต่ไปมาอยู่ที่เดิมอย่างซ้ำซากเป็นแน่
มันมองหาวิธีที่จะข้ามน้ำไปยังฝั่งโน้นอยู่หลายวัน และในที่สุด
โอกาสก็มาถึงจนได้
เมื่อมันพบกบตัวหนึ่งกำลังจะว่ายข้ามน้ำไปยังฝั่งตรงข้ามพอดี
เจ้าแมงป่องเห็นเช่นนั้น จึงขอเป็นผู้โดยสารขี่หลังกบไปชมวิวฝั่งโน้นบ้าง
กบนึกสังหรณ์ใจแปลกๆ จึงถามว่า
"" แมงป่องเพื่อนรัก เธอจะรับประกันได้อย่างไรละว่า
เมื่อฉันให้เธอขี่หลังข้ามไปฝั่งโน้นแล้ว เธอจะไม่แว้งมาต่อยฉัน ""
"" กบเพื่อนรัก ทำไมจึงมองฉันในแง่ร้ายเช่นนั้น
ถ้าคนอย่างฉันไม่มีคุณธรรมต่อเพื่อนเช่นเธอเสียแล้ว ในโลกนี้
คงหาคนดีไม่ได้อีกแล้ว ""
"" มั่นใจนะว่าเธอจะไม่ต่อยฉันกลางแม่น้ำแน่ๆ "" กบคาดคั้น
"" โธ่เพื่อนเอ๋ย - - ถ้าฉันต่อยเธอ ฉันก็จมไปพร้อมๆ
กับเธอนะสิ "" แมงป่องอธิบายอย่างสมเหตุสมผล
"" เออ จริงของเธอสินะ มาสิ
ถ้างั้นเธอขึ้นขี่หลังฉันได้เลย เราจะข้ามไปฝั่งโน้นด้วยกัน ""
ว่าแล้ว เจ้าแมงป่องก็ได้ขี่หลังกบสมใจ
กบน้อยพาเพื่อนร่วมทางลอยไปสักพักหนึ่งก็จะถึงฝั่ง
พอเห็นฝั่งเคลื่อนตัวมาใกล้ทุกที
เหลืออีกเพียงศอกเดียวเท่านั้นก็จะถึงฝั่ง
แมงป่องก็เผลอตัวต่อยหลังกบเข้าอย่างถนัดถนี่
กบร้องด้วยความเจ็บปวดขึ้นสุดเสียง พอรู้สึกตัว กบก็หันมาถามแมงป่องว่า
"" ไหนแกรับปากว่าจะไม่ต่อยฉัน แล้วนี่แกทำอะไรลงไป ""
"" ไม่รู้สิ ฉันไม่ได้คิดจะต่อยเธอเลย
แต่มารู้สึกตัวอีกที ฉันก็ต่อยเธอไปแล้ว ""
แมงป่องตอบอย่างเสียไม่ได้ไม่ยี่หระกับสิ่งที่ตนทำแม้สักนิด
อนิจจา กบน้อยพอลอยแตะฝั่ง ก็ถึงแก่กรรมไป
ส่วนแมงป่อง ก็ขึ้นฝั่งอย่างสบายใจ
ดูไม่รู้สึกทุกข์ร้อนอะไรกับสิ่งที่ตนเป็นคนก่อแม้แต่น้อย... ""
ทันทีที่ฟังนิทานเรื่องนี้จบ ผู้เขียนนึกถึงคำๆ
หนึ่งขึ้นมาทันที นั่นคือคำว่า
"" สันดาน ""
ขออภัย หากคำนี้เป็นคำไม่สุภาพ แต่ผู้เขียนรู้สึกว่า
ในโลกนี้ มีคนบางประเภทจริงๆ ที่เกิดมาแล้วทำตัวเป็น "" อันธพาล ""
โดยสายเลือด โดยความเคยชิน จนเป็นนิสัย
เราไม่ทราบว่า คนที่รู้สึกมีความสุขเสมอ
กับการได้ทำร้ายคนอื่นทั้งโดยตรงและโดยอ้อมนั้น
เขาเติบโตมาในสภาพแวดล้อมอย่างไร ได้รับการศึกษามาอย่างไร
แต่พอมาเจอกับเรา
เขาก็ได้กลายเป็นคนที่มีความสุขกับการเป็นคนเลวไปเสียแล้ว
สำหรับคนประเภทนี้ คุณคงไม่ต้องไปทำร้าย
หรือตอบโต้เขาอีกแล้ว การที่เขาเป็นคนเช่นนั้น
นับว่าเป็นเคราะห์กรรมของเขามากพออยู่แล้ว
"เพราะทั้งชีวิตนี้คนเช่นนี้จะไม่ได้รับความรักจากใครเลย"
ลึกๆแล้วคนที่มีความสุขกับการหาทุกข์ให้คนอื่นนั้น เขาเป็นคนน่าสงสาร
บางทีหากเราสามารถคลี่ปมของเขาออกมาดูได้ ก็จะเห็นว่า
คนอย่างนี้ควรได้รับความเห็นใจ มากกว่าจะซ้ำเติมเขา
ปล่อยเขาไปเถอะคุณ
การที่เขาเป็นคนเลว (โดยสันดาน) แล้วยังไม่รู้สึกตัวนั้น
ก็ทำให้เขาสร้างกรรมหนักหนาสาหัสแก่ตัวเองมากพออยู่แล้ว
เราไม่ควรจะเลวร่วมขบวนกับเขา ด้วยการหาวิธี "" เอาคืน "" แก่เขาเลย
การไม่ยุ่งกับคนประเภทนี้ คือ วิธีรับมือที่ดีที่สุดวิธีหนึ่ง

พระพุทธเจ้าเคยเล่านิทานว่า

ในอดีตชาติ
พระองค์ทรงเคยเกิดเป็นราชสีห์เจ้าป่า จู่ๆ
วันหนึ่งมีหมูสกปรกที่ชอบนอนกลิ้งเกลือกในหลุมอุจจาระเหม็นคลุ้งมาท้าสู้กัน
ราชสีห์เจ้าป่ามองดูเจ้าหมูสกปรกแล้วก็คำรามขึ้นว่า
"" เจ้าหมูสกปรกเอ๋ย หากเจ้าต้องการชัยชนะ
ข้าก็ยินดีจะยกชัยชนะนั้นให้เจ้าเดี๋ยวนี้เลย
แต่จะให้ข้าไปสู้กับเจ้านั้น ข้าไม่สู้หรอก
ข้ายินดียอมแพ้เสียยังจะดีกว่าไปสู้กับหมูสกปรกอย่างเจ้า ""

คนบางคนนั้น มีธาตุแท้ไม่ต่างอะไรกับแมงป่อง
และมีความสุขกับการทำความเลวเหมือนกับหมูป่าที่ชอบคลุกอุจจาระ
หากคนเห็นเช่นนี้เข้ามาป้วนเปี้ยนในชีวิตของเรา วิธีที่ดีที่สุด
ไม่ใช่การไปสู้กับเขา แต่ควรถอยออกมาจะดีกว่า การถอยนั้น
บางครั้งไม่ใช่การยอมแพ้ แต่เป็นการแก้ปัญหาที่ดีที่สุดรูปแบบหนึ่ง

คนบางประเภทนั้น
เขาเป็นมนุษย์ประเภทสูญเสียสามัญสำนึกขั้นพื้นฐาน
ไม่รู้จักแยกแยะดีชั่วถูกผิด หากคุณไม่ถอยให้เขา ก็มีแต่เจ็บตัวฟรี
ดีไม่ดีอาจวอดวายหายนะถึงชีวิต และจะหวังให้คนชนิดนี้สำนึกผิดนะหรือ
ไม่มีทางเสียหรอก
แมงป่องน่ะคุณ เวลามันต่อยใคร
มันยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไปได้อย่างไร
จะให้เขาสำนึกจึงเป็นเรื่องไกลเกินฝัน
ทางที่ดีที่สุด คือ อยู่ห่างๆ ไว้ ปลอดภัยที่สุด.


โดย : ท่านว.วชิรเมธี

Thursday, July 1, 2010

ความสุขเกิดขึ้นระหว่างการเดินทาง

ความสุข เกิดขึ้นระหว่างการเดินทาง ความสุขไม่ได้อยู่ที่จุดหมายปลายทางที่ไปถึง



คุณบอกกับตัวเองว่า เมื่อได้แต่งงาน และมีลูก ชีวิตของคุณก็จะดีขึ้น
แต่เมื่อมีลูก และลูกของคุณยังเล็กอยู่ คุณก็เกิดความรู้สึกว่า เมื่อเขาโตขึ้นเราคงมีความสุขและสบายขึ้น

แต่เมื่อลูกโตมากขึ้น จนย่างเข้าสู่วัยรุ่น คุณกลับรู้สึกไม่ได้ดั่งใจอีกครั้ง
และเมื่อลูกๆ ผ่านพ้นช่วงวัยรุ่นไปได้ คุณคิดว่า คุณจะมีความสุขมากขึ้น
แต่คุณกลับบอกกับตัวเองอีกว่า จะรอให้ลูกๆ จัดการกับตัวของเค้าเองให้เรียบร้อยดีเสียก่อน

บางครั้งคุณคิดว่า ถ้าคุณมีบ้าน มีรถ มีวันหยุดพักร้อนนานๆ
และเมื่อถึงวันเกษียณอายุการทำงาน ชีวิตของคุณจะมีความสุขมากที่สุด
แต่เมื่อเกษียนแล้วก็จริง แต่ทำไมถึงยังไม่มีความสุขสักที

ความสุขของชีวิตอยู่ที่ไหนกัน?
แท้จริงแล้ว ความสุขของชีวิต อยู่ ณ ช่วงเวลาขณะนี้ ช่วงเวลาปัจจุบัน ไม่ต้องรอให้ความสุขมาหาเราในอนาคต
เราควรมีความสุข และพึงพอใจกับความสุขอยู่ในปัจจุบัน

ชีวิตของมนุษย์ทุกคน ต้องมีสิ่งท้าทายเข้ามาอยู่ตลอดเวลา ทั้งอุปสรรคต่างๆ หรือบททดสอบชีวิตอันยากเข็ญ
แต่ในที่สุดเราก็จะต้องก้าวผ่านไป อุปสรรคกับชีวิตเป็นของคู่กัน
ดังนั้น เป็นหน้าที่ของเรา ที่ต้องความสุขและความพึงพอใจจากการเดินทางบนถนนแห่งชีวิตนี้
ซึ่งจะทำให้ชีวิตมีความสุข มากกว่าที่จะรอให้ถึงจุดหมายปลายทางก่อน แล้วถึงจะมีความสุขได้

เริ่มหยุดพูดกับตัวเองเสียทีว่า
ถ้าฉันลดน้ำหนักได้สัก 5 กิโล ฉันถึงจะมีความสุข
ถ้าฉันได้แต่งงาน ฉันถึงจะมีความสุข
ถ้าผมได้ซื้อบ้าน ผมถึงจะมีความสุข
ถ้าผมได้เกิดเป็นลูกคนรวย ผมถึงจะมีความสุข
ถ้าคุณหยุดพูดถึงสิ่งเหล่านี้ได้ ชีวิตของคุณก็จะมีความสุข และคุณจะรู้สึกพึงพอใจกับชีวิต


ตอบคำถาม ต่อไปนี้
1.
บอกชื่อคน 3 คน ที่รวยที่สุดในโลก
2.
บอกชื่อนางงามจักรวาล 3 คนล่าสุด
3.
บอกชื่อ ผู้ที่ได้รับรางวัลโนเบล 3 คนล่าสุด
4.
บอกชื่อนักแสดงนำชาย 3 คนล่าสุด ที่ได้รับรางวัลออสการ์

นึกไม่ออกใช่ไหม? ไม่ใช่เรื่องแปลก ไม่มีใครหรอกที่จะจดจำคนเหล่านี้ได้ทั้งหมด
คนที่ได้รับการยกย่องสรรเสริญ ก็ล้วนล้มหายตายจากไปตามกาลเวลา
รางวัลต่างๆ เมื่อวางไว้นาน ก็จะถูกฝุ่นจับ แม้แต่ผู้ชนะก็จะถูกลืมในไม่ช้า


ตอบคำถาม ต่อไปนี้
1.
บอกชื่ออาจารย์ 3 ท่านที่เคยช่วยเหลือคุณในเรื่องการเรียน
2.
บอกชื่อเพื่อน 3 คนที่ช่วยเหลือคุณในยามที่คุณต้องการ
3.
นึกถึงคน 3 คนที่ทำให้คุณรู้สึกว่า คุณได้เป็นคนพิเศษ
4.
บอกชื่อคน 3 คนที่คุณอยากใช้เวลาด้วย

นึกออกง่ายกว่าใช่ไหม? นั่นเป็นเพราะว่า
คนที่มีความหมายต่อชีวิตคุณ ไม่ได้เป็นคนที่ต้องเป็นที่สุด ไม่ได้มีเงินมากที่สุด ไม่ต้องได้รับรางวัลที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
เพราะยังมีคนใกล้ตัวคุณอีกหลายคนที่ห่วงใยคุณ คอยให้การดูแลคุณ
และเวลาที่มีอะไรเกิดขึ้น ก็จะคอยอยู่เคียงข้างคุณ

...
ไม่มีช่วงเวลาไหนที่จะมีความสุข มากกว่าช่วงเวลา ณ ปัจจุบันนี้..ใช้ชีวิตให้มีความสุขกับช่วงเวลาปัจจุบัน