Saturday, August 30, 2014
เลือกรองเท้ายังไงให้ดูแพง
อันดับหนึ่งเลย คือ ให้เลือกหนังที่มีความมันหรือ วาวไว้เป็นดีที่สุด และกรุณาขัดให้มัน ไม่ใช่ปล่อยจนเขรอะ ให้ความมัน เป็นความหลังไปซ่ะ ..
สอง เลือกวัสดุที่เป็นทรง ไม่ใช่หนังนิ่ม เพราะรูปทรงจะให้ความรู้สึกที่เป็นทางการ อะไรที่เป็นทางการ จะดูน่าเชื่อถือ ก็เลยดูเหมือนมีราคา
สาม แบบที่อยู่ในความนิยม หรือ แบบมาตราฐาน อะไรที่อยู่ในกระแส ราคามักจะสูงกว่าปกติ เมื่อไหร่กระแสซาลง เมื่อนั้นราคาก็จะค่อยๆกลับเข้าที่เข้าทางด้วยเหมือนกัน ดังนั้น ถ้าเราเลือกอะไรที่ดูเหมือนอยู่ในกระแสสักเล็กน้อย การแต่งตัวของเราก็จะดูมีราคาขึ้น
รองเท้าที่ดี ควรสูงพอเดินได้มั่นคง เลือกด้านหน้ารองเท้าให้หนา จะทำให้ไม่เมื่อยมาก
ดูแลรองเท้าให้ดี ใส่เสร็จแล้วเช็ดทำความสะอาดก่อนเก็บ
รองเท้า ควรใส่สลับ ไม่ใช่ใส่มันอยู่คู่เดียว พังแล้วค่อยทิ้งไป
หลักการคือ ใส่รองเท้าสลับคู่ ในอาทิตย์หนึ่ง สลับอย่างน้อย 2 คู่
ใส่แบบนี้จะเป็นรักษารองเท้าด้วย
ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย รองเท้าคือ สิ่งหนึ่งที่ควรลงทุน
รองเท้าทางการ สำหรับชุดที่เป็นทางการ
รองเท้าลำลอง สำหรับชุดที่ลำลอง
รองเท้ากีฬา ควรใส่สำหรับเล่นกีฬา
บางคนอ่าน แล้วอาจเกิดคำถามว่า โค้ชทำไมต้องเขียนแบบนี้ด้วย
ลองมองไปตามท้องถนนซิ หลายคนใส่แบบเป็นลูกครึ่งอยู่ คือ แต่งตัวแบบทางการ แต่ใส่รองเท้าลำลอง หรือ สาหัสคือ แต่งตัวแบบทางการ ใส่รองเท้ากีฬา ... นี่แหละ คือ เหตุผลที่ดิฉันต้องเขียนเรื่องนี้
รองเท้าที่ดี เป็นหน้าเป็นตาให้คุณได้
อ่านฉบับเต็มซ่ะใจได้ ในบทรองเท้า ในหนังสือ "แต่งให้รวย สวยให้เป็น" ได้อ่านกันบ้างรึยังค่ะ
นิสัย แค่ 1% ผลสำเร็จ 100%
ช่วงที่ผ่านมาผมได้อ่านหนังสือเรื่อง The Power of Habit ของ Charles
Duhigg ทำให้เห็นเห็นมุมมองที่เป็นประโยชน์ต่อการลงทุนมากทีเดียว
เพราะการสร้างนิสัยที่ถูกต้อง จะช่วยให้เราประสบความสำเร็จได้ทุกเรื่อง
รวมถึงการลงทุน และไม่น่าเชื่อว่านิสัยแค่ 1%
อาจจะสร้างผลต่างในการลงทุนมากเป็นเท่า ๆ ตัว
Charles ยกตัวอย่างการทดลองของนักวิจัยสถาบัน MIT ที่น่าสนใจอันหนึ่ง ที่ศึกษาความเชื่อมโยงระหว่าง “สมอง” “นิสัย” และ “ผลสำเร็จในการแก้ปัญหา” ด้วยการนำเอาหนูเข้ามาวิ่งในเขาวงกตแบบง่าย ๆ โดยมีจุดหมายปลายทางเป็น “ชีสหอม ๆ” เป็นรางวัล ทุกครั้งที่ปล่อยหนูออกวิ่ง จะมีสัญญาณเสียงกริ๊ก และที่กั้นก็จะถูกยกออก หลังจากนั้นหนูก็จะพยายามขวนขวาย ดมกลิ่น และลองผิดลองถูก จนถึงจุดมุ่งหมาย นักวิจัยทำการทดลองซ้ำแต่ละครั้งหนูก็เรียนรู้วิธีเดินผ่านเขาวงกตได้อย่าง รวดเร็วขึ้นทุก ๆ ครั้ง
ที่น่าสนใจคือ นักวิจัย MIT ได้นำเอาเครื่องวัดการทำงานของสมองมาวัด “คลื่นสมอง” ของหนูตลอดเวลา และพบว่า สมองหนูกลับทำงานน้อยลง ทั้ง ๆ ที่หนูใช้เวลาน้อยกว่าเดิมในการทดลองครั้งหลัง ๆ กระบวนการที่สมองกำหนดให้เกิดพฤติกรรมแบบอัตโนมัตินี้เอง เป็นที่มาของแนวคิดเรื่อง “นิสัย” ซึ่งถ้าสร้างตัวแปรก็จะพบว่ามี 3 สิ่งคือ ตัวกระตุ้น (ในที่นี้คือเสียงกริ๊ก) มีรางวัล (ในที่นี้คือชีส) และมีกิจวัตร (คือการเดินในเขาวงกต) และผู้เขียนก็เรียกสิ่งนี้ว่า “วงจรแห่งนิสัย”
วงจรแห่งนิสัย มีอิทธิพลต่อชีวิตของเรา และบ่งบอกถึง “เส้นทาง” ในชีวิตของคนทุกคน วงจรแห่งนิสัยในภาพใหญ่จะประกอบด้วย “นิสัยเล็ก ๆ” จำนวนมาก ตั้งแต่การตื่นนอน แปรงฟัน กินข้าว ทำงาน จนเราหลับนอน นิสัยกำหนดให้เราเลือกที่จะตัดสินใจบนเส้นทางที่แตกต่างกันโดยเราไม่รู้ตัว เพราะนี่คือ “พฤติกรรมแบบอัตโนมัติในชีวิต” อันที่จริงนักการตลาดก็ใช้นิสัยของมนุษย์มาสร้างธุรกิจจำนวนมาก Life Style หลายอย่างที่เราเห็น ก็ถูกสร้างจากวงจรแห่งนิสัยนี้นับไม่ถ้วน
ผมนำแนวคิดวงจรแห่งนิสัยนี้มาเปรียบเทียบกับการลงทุน การลงทุนในทุก ๆ เช้าวันธรรมดาเวลาสิบโมงตรง ก็จะเริ่มมีตัวกระพริบเป็น “ชื่อหุ้น” พร้อม ๆ กับ “สี” แดงบ้าง เหลืองบ้าง เขียวบ้าง ซึ่งมันคือ “ตัวกระตุ้น” นั่นเอง และรางวัลของนักลงทุน คือ “ส่วนต่างกำไร” หรือ “เงินปันผล” ส่วนกิจวัตรของนักลงทุนก็คือการซื้อ ขาย และการวิเคราะห์หาข้อมูล
นักลงทุนส่วนมาก จะเริ่มต้นการลงทุนจากการมอง “รางวัล” เป็นที่ตั้งก่อน เช่นการอยากมีอิสรภาพทางการเงิน อยากรวย แต่สิ่งที่ควรจะระวังไว้คือ “รางวัล” มักจะนำมาซึ่งอารมณ์ “ความโลภ” ที่อยากจะได้ผลตอบแทนมาก ๆ และนำมาซึ่ง “ความกลัว” ที่จะสูญเสียรางวัลนั้นไปตลอดกาล เพราะเหตุนี้รางวัลจึงไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีนักที่จะสร้างความสำเร็จในการลง ทุน
และกับดักนักลงทุนที่สอง คือ “ตัวกระตุ้น” ซึ่งเหมือนมีมากขึ้นกว่าแต่ก่อน เพราะเทคโนโลยีทำให้เราสามารถเข้าถึงหุ้นได้จำนวนมากพร้อม ๆ กับข่าวสารที่ถาโถมเข้ามา ตัวกระตุ้นชั้นดีในทุกยุคทุกสมัยคือ “ข่าวลือ” หรือหุ้นจำพวก “Top Gainer” หรือ “Most Active” เพราะนี่คือเสียง “กริ๊ก” ให้เราซื้อ ๆ ขาย ๆ หุ้น ซึ่งมันก็ถูกขยายให้มากขึ้นไปอีก ด้วยเครื่องมือจำพวก Social Media เช่น Line, Facebook เพราะเรามักจะเห็นสนามหญ้าคนอื่นเขียวกว่าตัวเอง และเรามักจะรู้สึกบ่อย ๆ ว่า หุ้นในพอร์ตคนอื่น “เขียว” กว่าพอร์ตหุ้นตัวเองเช่นเดียวกัน
ที่จริงแล้วความสำเร็จในการลงทุนต้องสร้างจาก “นิสัย” และตัดตัวกระตุ้นทั้งหลายออกไป หากให้ผมเลือก “สามนิสัย” ที่สำคัญที่สุด นิสัยที่ดีที่สุดในการลงทุน คือ “การอ่าน” เพราะนี่คือการหาวัตถุดิบ ซึ่งก็คือความรู้ และข้อมูล เพื่อนำหุ้นมาวิเคราะห์อย่างเป็นกลาง จนสร้างผลสำเร็จคือการ “มองเห็น” อนาคตได้ไกลกว่านักลงทุนคนอื่น ๆ ยิ่งเราสามารถมองได้ไกล (วิสัยทัศน์) มองได้ทั่ว (รู้จักหุ้นจำนวนมาก) เราก็ยิ่งประสบความสำเร็จได้มากเท่านั้น
นิสัยที่สอง คือ “การคิด” โดยเฉพาะการคิดหลาย ๆ ชั้น คิดในหลาย ๆ มุม การอ่านจำนวนมากจะไม่มีประโยชน์เท่าไหร่นัก ถ้าไม่สามารถนำความคิดมาต่อยอด สังเคราะห์ และตกผลึกออกมาเป็นผลลัพท์ชั้นยอด การคิดสองชั้นอย่างง่าย ๆ คือ ถ้าเราคิดอะไรได้ เราต้องคิดต่อไปอีกอย่างน้อยหนึ่งชั้นว่า ทำไมคนอื่นถึงคิดไม่ได้เหมือนเรา หรือมีอะไรผิดปกติตรงไหนที่เราลืมคิดไป
นิสัยที่สามคือ “การรอ” เป็นนิสัยที่ดูขัดแย้งกับความสำเร็จในมุมมองของงานทั่ว ๆ ไป ว่า “ทำมากได้มาก” แต่สำหรับการลงทุน “ทำน้อยอาจจะได้ มากกว่า” เสียอีก บัฟเฟตต์บอกว่าการลงทุนดี ๆ แค่ 20 ครั้ง ก็เพียงพอสำหรับเปลี่ยนชีวิตคุณได้แล้ว “การรอ” คือนิสัยที่ทำได้ยากมาก ไม่ว่าจะเป็นการรอจังหวะซื้อหุ้นที่ราคาดี ๆ และ รอคอย “เวลา” ที่หุ้นจะเติบโตไปถึงจุดที่ดีที่สุดของมัน ทั้งสามนิสัยนั้นนักลงทุนต้องฝึกให้เป็น “พฤติกรรมอัตโนมัติ” และคุณจะโชคดีมาก ถ้านิสัยเหล่านี้เป็นสิ่งที่คุณชอบอยู่แล้ว เพราะนั่นคือชีวิตที่มีความสุขโดยไม่ต้องฝึกฝนเลย
วอร์เรน บัฟเฟตต์ เคยพูดถึงนิสัยไว้ว่า “นิสัยที่ดีต่อเนื่อง มักจะเบาเกินกว่าที่เราจะรู้สึกถึงมัน จนกระทั่งนิสัยนั้นถูกสร้างให้หนักแน่นจนเกินกว่าที่มันจะแตกหักได้” ดังนั้น จงสร้างนิสัยที่ถูกต้องอย่างต่อเนื่อง เพราะนี่คือสิ่งที่ทำลายคุณไม่ได้ แม้ว่าพอร์ตหุ้นจะลดลง 50% แต่นิสัยที่หนักแน่น จะพาคุณกลับมา และไปได้ไกลยิ่งกว่าเดิม นี่คือสิ่งที่นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จพิสูจน์มานักต่อนักแล้ว
อ้างอิง เว็ปThai Vi
Charles ยกตัวอย่างการทดลองของนักวิจัยสถาบัน MIT ที่น่าสนใจอันหนึ่ง ที่ศึกษาความเชื่อมโยงระหว่าง “สมอง” “นิสัย” และ “ผลสำเร็จในการแก้ปัญหา” ด้วยการนำเอาหนูเข้ามาวิ่งในเขาวงกตแบบง่าย ๆ โดยมีจุดหมายปลายทางเป็น “ชีสหอม ๆ” เป็นรางวัล ทุกครั้งที่ปล่อยหนูออกวิ่ง จะมีสัญญาณเสียงกริ๊ก และที่กั้นก็จะถูกยกออก หลังจากนั้นหนูก็จะพยายามขวนขวาย ดมกลิ่น และลองผิดลองถูก จนถึงจุดมุ่งหมาย นักวิจัยทำการทดลองซ้ำแต่ละครั้งหนูก็เรียนรู้วิธีเดินผ่านเขาวงกตได้อย่าง รวดเร็วขึ้นทุก ๆ ครั้ง
ที่น่าสนใจคือ นักวิจัย MIT ได้นำเอาเครื่องวัดการทำงานของสมองมาวัด “คลื่นสมอง” ของหนูตลอดเวลา และพบว่า สมองหนูกลับทำงานน้อยลง ทั้ง ๆ ที่หนูใช้เวลาน้อยกว่าเดิมในการทดลองครั้งหลัง ๆ กระบวนการที่สมองกำหนดให้เกิดพฤติกรรมแบบอัตโนมัตินี้เอง เป็นที่มาของแนวคิดเรื่อง “นิสัย” ซึ่งถ้าสร้างตัวแปรก็จะพบว่ามี 3 สิ่งคือ ตัวกระตุ้น (ในที่นี้คือเสียงกริ๊ก) มีรางวัล (ในที่นี้คือชีส) และมีกิจวัตร (คือการเดินในเขาวงกต) และผู้เขียนก็เรียกสิ่งนี้ว่า “วงจรแห่งนิสัย”
วงจรแห่งนิสัย มีอิทธิพลต่อชีวิตของเรา และบ่งบอกถึง “เส้นทาง” ในชีวิตของคนทุกคน วงจรแห่งนิสัยในภาพใหญ่จะประกอบด้วย “นิสัยเล็ก ๆ” จำนวนมาก ตั้งแต่การตื่นนอน แปรงฟัน กินข้าว ทำงาน จนเราหลับนอน นิสัยกำหนดให้เราเลือกที่จะตัดสินใจบนเส้นทางที่แตกต่างกันโดยเราไม่รู้ตัว เพราะนี่คือ “พฤติกรรมแบบอัตโนมัติในชีวิต” อันที่จริงนักการตลาดก็ใช้นิสัยของมนุษย์มาสร้างธุรกิจจำนวนมาก Life Style หลายอย่างที่เราเห็น ก็ถูกสร้างจากวงจรแห่งนิสัยนี้นับไม่ถ้วน
ผมนำแนวคิดวงจรแห่งนิสัยนี้มาเปรียบเทียบกับการลงทุน การลงทุนในทุก ๆ เช้าวันธรรมดาเวลาสิบโมงตรง ก็จะเริ่มมีตัวกระพริบเป็น “ชื่อหุ้น” พร้อม ๆ กับ “สี” แดงบ้าง เหลืองบ้าง เขียวบ้าง ซึ่งมันคือ “ตัวกระตุ้น” นั่นเอง และรางวัลของนักลงทุน คือ “ส่วนต่างกำไร” หรือ “เงินปันผล” ส่วนกิจวัตรของนักลงทุนก็คือการซื้อ ขาย และการวิเคราะห์หาข้อมูล
นักลงทุนส่วนมาก จะเริ่มต้นการลงทุนจากการมอง “รางวัล” เป็นที่ตั้งก่อน เช่นการอยากมีอิสรภาพทางการเงิน อยากรวย แต่สิ่งที่ควรจะระวังไว้คือ “รางวัล” มักจะนำมาซึ่งอารมณ์ “ความโลภ” ที่อยากจะได้ผลตอบแทนมาก ๆ และนำมาซึ่ง “ความกลัว” ที่จะสูญเสียรางวัลนั้นไปตลอดกาล เพราะเหตุนี้รางวัลจึงไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีนักที่จะสร้างความสำเร็จในการลง ทุน
และกับดักนักลงทุนที่สอง คือ “ตัวกระตุ้น” ซึ่งเหมือนมีมากขึ้นกว่าแต่ก่อน เพราะเทคโนโลยีทำให้เราสามารถเข้าถึงหุ้นได้จำนวนมากพร้อม ๆ กับข่าวสารที่ถาโถมเข้ามา ตัวกระตุ้นชั้นดีในทุกยุคทุกสมัยคือ “ข่าวลือ” หรือหุ้นจำพวก “Top Gainer” หรือ “Most Active” เพราะนี่คือเสียง “กริ๊ก” ให้เราซื้อ ๆ ขาย ๆ หุ้น ซึ่งมันก็ถูกขยายให้มากขึ้นไปอีก ด้วยเครื่องมือจำพวก Social Media เช่น Line, Facebook เพราะเรามักจะเห็นสนามหญ้าคนอื่นเขียวกว่าตัวเอง และเรามักจะรู้สึกบ่อย ๆ ว่า หุ้นในพอร์ตคนอื่น “เขียว” กว่าพอร์ตหุ้นตัวเองเช่นเดียวกัน
ที่จริงแล้วความสำเร็จในการลงทุนต้องสร้างจาก “นิสัย” และตัดตัวกระตุ้นทั้งหลายออกไป หากให้ผมเลือก “สามนิสัย” ที่สำคัญที่สุด นิสัยที่ดีที่สุดในการลงทุน คือ “การอ่าน” เพราะนี่คือการหาวัตถุดิบ ซึ่งก็คือความรู้ และข้อมูล เพื่อนำหุ้นมาวิเคราะห์อย่างเป็นกลาง จนสร้างผลสำเร็จคือการ “มองเห็น” อนาคตได้ไกลกว่านักลงทุนคนอื่น ๆ ยิ่งเราสามารถมองได้ไกล (วิสัยทัศน์) มองได้ทั่ว (รู้จักหุ้นจำนวนมาก) เราก็ยิ่งประสบความสำเร็จได้มากเท่านั้น
นิสัยที่สอง คือ “การคิด” โดยเฉพาะการคิดหลาย ๆ ชั้น คิดในหลาย ๆ มุม การอ่านจำนวนมากจะไม่มีประโยชน์เท่าไหร่นัก ถ้าไม่สามารถนำความคิดมาต่อยอด สังเคราะห์ และตกผลึกออกมาเป็นผลลัพท์ชั้นยอด การคิดสองชั้นอย่างง่าย ๆ คือ ถ้าเราคิดอะไรได้ เราต้องคิดต่อไปอีกอย่างน้อยหนึ่งชั้นว่า ทำไมคนอื่นถึงคิดไม่ได้เหมือนเรา หรือมีอะไรผิดปกติตรงไหนที่เราลืมคิดไป
นิสัยที่สามคือ “การรอ” เป็นนิสัยที่ดูขัดแย้งกับความสำเร็จในมุมมองของงานทั่ว ๆ ไป ว่า “ทำมากได้มาก” แต่สำหรับการลงทุน “ทำน้อยอาจจะได้ มากกว่า” เสียอีก บัฟเฟตต์บอกว่าการลงทุนดี ๆ แค่ 20 ครั้ง ก็เพียงพอสำหรับเปลี่ยนชีวิตคุณได้แล้ว “การรอ” คือนิสัยที่ทำได้ยากมาก ไม่ว่าจะเป็นการรอจังหวะซื้อหุ้นที่ราคาดี ๆ และ รอคอย “เวลา” ที่หุ้นจะเติบโตไปถึงจุดที่ดีที่สุดของมัน ทั้งสามนิสัยนั้นนักลงทุนต้องฝึกให้เป็น “พฤติกรรมอัตโนมัติ” และคุณจะโชคดีมาก ถ้านิสัยเหล่านี้เป็นสิ่งที่คุณชอบอยู่แล้ว เพราะนั่นคือชีวิตที่มีความสุขโดยไม่ต้องฝึกฝนเลย
วอร์เรน บัฟเฟตต์ เคยพูดถึงนิสัยไว้ว่า “นิสัยที่ดีต่อเนื่อง มักจะเบาเกินกว่าที่เราจะรู้สึกถึงมัน จนกระทั่งนิสัยนั้นถูกสร้างให้หนักแน่นจนเกินกว่าที่มันจะแตกหักได้” ดังนั้น จงสร้างนิสัยที่ถูกต้องอย่างต่อเนื่อง เพราะนี่คือสิ่งที่ทำลายคุณไม่ได้ แม้ว่าพอร์ตหุ้นจะลดลง 50% แต่นิสัยที่หนักแน่น จะพาคุณกลับมา และไปได้ไกลยิ่งกว่าเดิม นี่คือสิ่งที่นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จพิสูจน์มานักต่อนักแล้ว
อ้างอิง เว็ปThai Vi
ป้ายกำกับ:
Warren Buffett,
การเงิน,
การลงทุน,
คำคม,
วอร์เรน บัฟเฟตต์,
สาระน่ารู้
Thursday, August 28, 2014
ไม่คาดหวัง ก็ไม่ผิดหวัง
ไม่คาดหวัง ก็ไม่ผิดหวัง
สถานการณ์ของอารมณ์ความผิดหวัง เกิน 80% ในโลกนี้ มาจากการตั้งความหวังกับใคร กับอะไรบางอย่าง แล้วหวังว่าเขาจะต้องรับรู้ได้เอง ว่าเราคิดยังไง อยากได้อะไร รอ แล้วก็รอ แต่กลับไม่ยอมพูดอะไรออกไป ด้วยความแน่ใจ ว่าเขาผู้นั้นต้องรู้ว่า อะไรคือสิ่งที่เราไม่ได้บอก และต้องทำที่เราต้องการได้ แม้เราไม่ได้บอกอะไร
บ้านเรามีวัฒนธรรมหนึ่งที่สืบทอดกันมายาวนานอย่างหนึ่ง คือ ไม่ค่อยชอบแสดงออกทางอารมณ์ว่า รู้สึกอย่างไร ชอบก็ไม่แสดงออก ไม่ชอบก็ไม่แสดงออก แต่กลับคาดหวังอะไรหลายอย่างเป็นคุ้งเป็นแคว ว่าใครหรือ อะไร แม้เราไม่พูดเขาก็น่าจะรับรู้ได้ อยู่กันมาตั้งนานแล้ว
ข่าวร้ายคือ ไม่ว่าใครหรืออะไร เขาก็มี story ของเขาเองมากมาย ที่ต้องใช้หัวคิดเหมือนๆกันกับเรา ทำให้บางทีเขาก้อาจมองข้ามอะไรที่เราอยู่ดีๆก็ตั้งความคาดหวังขึ้นมาเอง พอไม่ได้ ก็ตีโพยตีพายอะไรไปมา สิ่งที่ดูเหมือนไม่มีอะไรนี้ ทำลายความสัมพันธ์มาแล้วทั้งเล็กและใหญ่
มีทางเลือก เพื่อให้เราสามารถข้ามเรื่องนี้ไปได้อย่างราบรื่น คือ หนึ่ง ทำอะไร ให้ใคร ไม่ต้องไปคาดหวังว่าเขาน่าจะให้อะไร หรือ ตอบรับอะไรกลับมา การทำอะไรให้กับใครอย่างจริงใจ คุณค่าทางใจแห่งการให้ออกไป เราได้มาแล้วตั้งแต่ยังทำไม่เสร็จด้วยซ้ำ การอวยชัยให้พรทางโลก เทียบค่าไม่ได้กับความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่ทางใจที่เราได้มานี้
อีกทางเลือกหนึ่ง คือ ถ้าคุณค่าของการตอบรับจากใครหรืออะไร มันมีค่ากับเรามากมาย และเราจำเป็นต้องได้มันมา ก็ให้แจ้งความนัย นี้กับเขาไปเลย ว่าเราคาดหวังจะได้สิ่งนี้จากเขา ตรงไปตรงมา ไม่ต้องมาปิดกั้นอะไรกัน
หลายคนเกิดความสับสนในตัวเอง เรื่องความต้องการ ว่าที่แท้เราอยากได้อะไรกันแน่
เราไม่มีทางได้อะไร ที่เราเองก็ไม่ชัดเจนว่า ที่แท้ เราอยากได้อะไรกันแน่ เหมือนการปาลูกดอกออกไป ถ้าคุณไม่มีเป้า ต่อให้คุณมือแม่นแค่ไหน มันไม่มีทางโดนได้ เพราะมันไม่มีเป้า
อยู่บนหลักของสิ่งที่เกิดจริง แทนการอยู่บนพื้นฐานของอารมณ์และความคาดหวัง เมื่อไม่ได้ตั้งความหวัง จะไปผิดหวังได้อย่างไร เราไม่สามารถควบคุมดินฟ้า อากาศได้ฉันท์ใด เราก้ไม่สามารถควบคุมคนอื่นได้ฉันท์นั้น ต่อให้เขาเป็น ลูก เป็น สามี-ภรรยา เป็นพ่อ เป็นแม่ ทุกคนล้วนมีความเป็นปัจเจก
คุมอารมณ์ความรู้สึก นึกคิดตัวเองได้ก็เป็นเลิศแล้ว
อยู่แบบเข้าใจโลกอย่างที่มันเป็น ดีกว่าอยู่แบบผิดหวังไปมา เพราะความคาดหวัง ที่อยากจะให้โลกเป็น อย่างที่เราต้องการ
สถานการณ์ของอารมณ์ความผิดหวัง เกิน 80% ในโลกนี้ มาจากการตั้งความหวังกับใคร กับอะไรบางอย่าง แล้วหวังว่าเขาจะต้องรับรู้ได้เอง ว่าเราคิดยังไง อยากได้อะไร รอ แล้วก็รอ แต่กลับไม่ยอมพูดอะไรออกไป ด้วยความแน่ใจ ว่าเขาผู้นั้นต้องรู้ว่า อะไรคือสิ่งที่เราไม่ได้บอก และต้องทำที่เราต้องการได้ แม้เราไม่ได้บอกอะไร
บ้านเรามีวัฒนธรรมหนึ่งที่สืบทอดกันมายาวนานอย่างหนึ่ง คือ ไม่ค่อยชอบแสดงออกทางอารมณ์ว่า รู้สึกอย่างไร ชอบก็ไม่แสดงออก ไม่ชอบก็ไม่แสดงออก แต่กลับคาดหวังอะไรหลายอย่างเป็นคุ้งเป็นแคว ว่าใครหรือ อะไร แม้เราไม่พูดเขาก็น่าจะรับรู้ได้ อยู่กันมาตั้งนานแล้ว
ข่าวร้ายคือ ไม่ว่าใครหรืออะไร เขาก็มี story ของเขาเองมากมาย ที่ต้องใช้หัวคิดเหมือนๆกันกับเรา ทำให้บางทีเขาก้อาจมองข้ามอะไรที่เราอยู่ดีๆก็ตั้งความคาดหวังขึ้นมาเอง พอไม่ได้ ก็ตีโพยตีพายอะไรไปมา สิ่งที่ดูเหมือนไม่มีอะไรนี้ ทำลายความสัมพันธ์มาแล้วทั้งเล็กและใหญ่
มีทางเลือก เพื่อให้เราสามารถข้ามเรื่องนี้ไปได้อย่างราบรื่น คือ หนึ่ง ทำอะไร ให้ใคร ไม่ต้องไปคาดหวังว่าเขาน่าจะให้อะไร หรือ ตอบรับอะไรกลับมา การทำอะไรให้กับใครอย่างจริงใจ คุณค่าทางใจแห่งการให้ออกไป เราได้มาแล้วตั้งแต่ยังทำไม่เสร็จด้วยซ้ำ การอวยชัยให้พรทางโลก เทียบค่าไม่ได้กับความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่ทางใจที่เราได้มานี้
อีกทางเลือกหนึ่ง คือ ถ้าคุณค่าของการตอบรับจากใครหรืออะไร มันมีค่ากับเรามากมาย และเราจำเป็นต้องได้มันมา ก็ให้แจ้งความนัย นี้กับเขาไปเลย ว่าเราคาดหวังจะได้สิ่งนี้จากเขา ตรงไปตรงมา ไม่ต้องมาปิดกั้นอะไรกัน
หลายคนเกิดความสับสนในตัวเอง เรื่องความต้องการ ว่าที่แท้เราอยากได้อะไรกันแน่
เราไม่มีทางได้อะไร ที่เราเองก็ไม่ชัดเจนว่า ที่แท้ เราอยากได้อะไรกันแน่ เหมือนการปาลูกดอกออกไป ถ้าคุณไม่มีเป้า ต่อให้คุณมือแม่นแค่ไหน มันไม่มีทางโดนได้ เพราะมันไม่มีเป้า
อยู่บนหลักของสิ่งที่เกิดจริง แทนการอยู่บนพื้นฐานของอารมณ์และความคาดหวัง เมื่อไม่ได้ตั้งความหวัง จะไปผิดหวังได้อย่างไร เราไม่สามารถควบคุมดินฟ้า อากาศได้ฉันท์ใด เราก้ไม่สามารถควบคุมคนอื่นได้ฉันท์นั้น ต่อให้เขาเป็น ลูก เป็น สามี-ภรรยา เป็นพ่อ เป็นแม่ ทุกคนล้วนมีความเป็นปัจเจก
คุมอารมณ์ความรู้สึก นึกคิดตัวเองได้ก็เป็นเลิศแล้ว
อยู่แบบเข้าใจโลกอย่างที่มันเป็น ดีกว่าอยู่แบบผิดหวังไปมา เพราะความคาดหวัง ที่อยากจะให้โลกเป็น อย่างที่เราต้องการ
เภสัชกรเผย ผักดองดีต่อร่างกาย ลดการเจ็บป่วย
อภัยภูเบศรชี้ผักดองดีต่อร่างกาย ใช้เป็นอาหารแก้โรค เหตุมีโปรไบโอติกส์
ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่มีประโยชน์ต่อร่างกายเหมือนโยเกิร์ต
ช่วยเรื่องระบบขับถ่าย ระบุยิ่งขับถ่ายดีการเจ็บป่วยจะน้อยลง
ภญ.ผกากรอง ขวัญข้าว เภสัชกรชำนาญการ โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร กล่าวว่า สมุนไพรนอกจากจะนำมารักษาโรค แปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ แล้ว ยังสามารถกินเพื่อรักษาสมดุลในร่างกายและทำให้ไม่เจ็บป่วยได้ด้วยซึ่งเป็น แนวทางที่ดีกว่า ทั้งนี้ ความเชื่อแบบไทยจะเชื่อว่า การกินอาหารหมักดองนั้นจะทำให้เกิดลมในอวัยวะต่างๆ และทำให้เกิดอาการปวดเมื่อยได้ แต่มีการศึกษาพบว่า การหมักทำให้อาหารอยู่ในรูปที่ดูดซึมง่าย เนื่องจากการหมักทำให้เกิดการย่อยสลายสารอาหารให้อยู่ในรูปแบบโมเลกุลเล็กลง เหมาะสำหรับกลุ่มที่ขาดอาหาร นอกจากนี้ นักวิจัยจากสถาบันค้นคว้าและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหาร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ยังพบว่า ผักดองพื้นบ้านนั้น สารโปรไบโอติกส์ ซึ่งเป็นแบคทีเรียสายพันธุ์ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย
“โปรไบโอติกส์ หมายถึงแบคทีเรียชนิดที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย จะเห็นได้ว่ามีผลิตภัณฑ์หลายชนิดที่สกัดสารเหล่านี้ขึ้น เช่น โยเกิร์ต ถือเป็นอาหารประเภทที่มีโปรไบโอติกส์สูง ซึ่งหลายคนเลือกรับประทานเพื่อให้สามารถขับถ่ายได้ดีขึ้น แต่พบว่า การกินผักดองที่ใช้ผักพื้นบ้านมาปรุงให้เหมาะสมกับตนเอง หรือธาตุเจ้าเรือนที่แต่ละคนมีความแตกต่างกันนั้นจะช่วยเพิ่มแบคทีเรียชนิด ที่มีประโยชน์ต่อการย่อย โดยมีทั้งโปรไบโอติกส์ และพรีไบโอติก หรือเรียกว่า ซินไบโอติกส์ จะทำให้ช่วยเพิ่มการทำงานของโปรไบโอติก เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงต่อสุขภาพได้ด้วย” ภญ. ผกากรอง กล่าว
ภญ.ผกากรอง กล่าวอีกว่า การรับประทานอาหารหากไม่สมดุลก็สามารถทำให้เกิดการเจ็บป่วยได้ โดยเฉพาะหากร่างกายไม่สามารถย่อยอาหารและดูดซึมอาหารได้ดี โดยผักดองถือเป็นภูมิปัญญาพื้นบ้าน ซึ่งให้ประโยชน์และมีค่าใช้จ่ายน้อย จะเห็นได้ว่า บางประเทศมีการกินผักดองทุกมื้อ เช่น เกาหลี ญี่ปุ่น โดยที่ใส่ชนิดของผักให้เข้ากับสภาพอากาศ เช่น เติมขิงมากๆ เมื่อมีอากาศหนาว ซึ่งจะช่วยเพิ่มความอบอุ่นได้ ส่วนประเทศไทย ถือว่ามีผักพื้นบ้านจำนวนมาก โดยผักที่สามารถนำมาดองได้ เช่น ผักเสี้ยน ผักกุ่ม ผักสามรส ที่ทำจากแครอท หัวไชเท้า แตงร้าน พริกชี้ฟ้า ผักกาดขาว มาผสมกัน เป็นต้น อย่างไรก็ตามการเพิ่มผักดองในมื้ออาหาร ถือเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพกับระบบการขับถ่ายและเมื่อร่างกายสามารถขับถ่าย ได้ตามปกติโอกาสจะเกิดการเจ็บป่วยก็น้อยลง
ผักรวมดอง (สามรส)
เครื่องปรุง
แตงกวา 3-4 ผล
กะหล่ำปลี ¼ กิโลกรัม
ดอกกะหล่ำ ¼ กิโลกรัม
แครอท 1 หัว
พริกหวาน 3-4 เม็ด
น้ำส้มสายชู ½ ถ้วย
น้ำตาลทราย 1 ถ้วย
เกลือป่น 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำเปล่า 1 ถ้วย
น้ำเกลือ (เกลือ 2 ช้อนโต๊ะ น้ำเปล่า 2 ถ้วย)
วิธีทํา
1. ล้างผักทุกชนิดให้สะอาด โดยเฉพาะกะหล่ำปลีกะหล่ำดอก ต้องล้างผ่านน้ำก๊อกหลายๆ ครั้ง
2. แตงกวา แครอท และพริกหวาน หั่นตามขวางเป็นแว่นหนาประมาณครึ่งเซนติเมตร หรือจะแกะสลักเป็นรูปดอกไม้ใบไม้ตามชอบ ดอกกะหล่ำตัดช่อพอคำ กะหล่ำปลีผ่าซีกหั่นเป็นชิ้น เสร็จแล้วนำผักทั้งหมดแช่น้ำเกลือไว้ประมาณ 30 นาที นำขึ้นล้างแล้วผึ่ง
3. ผสมน้ำส้มสายชู เกลือ น้ำตาลทราย น้ำเปล่า ในหม้อเคลือบ นำขึ้นตั้งไฟ พอเดือดยกลงกรองด้วยผ้าขาวบาง นำขึ้นตั้งไฟอีกครั้ง พอเริ่มเหนียวยกลง พักไว้ให้เย็น
4. จัดผักลงในขวดแก้วหรือขวดโหล เทน้ำดองใส่ให้ท่วมผัก ปิดฝาให้สนิท ดองไว้ 2-3 วัน รับประทานได้
หมายเหตุ
- ขวดแก้ว ขวดโหล ควรฆ่าเชื้อโดยการต้มหรือนึ่ง ดังนั้นจึงควรเป็นขวดแก้วทนไฟ
- ถ้าต้องการดองระยะเวลาเร็ว 1-2 วัน ให้เพิ่มความเข้มข้นในน้ำดอง โดยการเติมน้ำส้มสายชู น้ำตาลทราย และเกลือ
ภญ.ผกากรอง ขวัญข้าว เภสัชกรชำนาญการ โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร กล่าวว่า สมุนไพรนอกจากจะนำมารักษาโรค แปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ แล้ว ยังสามารถกินเพื่อรักษาสมดุลในร่างกายและทำให้ไม่เจ็บป่วยได้ด้วยซึ่งเป็น แนวทางที่ดีกว่า ทั้งนี้ ความเชื่อแบบไทยจะเชื่อว่า การกินอาหารหมักดองนั้นจะทำให้เกิดลมในอวัยวะต่างๆ และทำให้เกิดอาการปวดเมื่อยได้ แต่มีการศึกษาพบว่า การหมักทำให้อาหารอยู่ในรูปที่ดูดซึมง่าย เนื่องจากการหมักทำให้เกิดการย่อยสลายสารอาหารให้อยู่ในรูปแบบโมเลกุลเล็กลง เหมาะสำหรับกลุ่มที่ขาดอาหาร นอกจากนี้ นักวิจัยจากสถาบันค้นคว้าและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหาร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ยังพบว่า ผักดองพื้นบ้านนั้น สารโปรไบโอติกส์ ซึ่งเป็นแบคทีเรียสายพันธุ์ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย
“โปรไบโอติกส์ หมายถึงแบคทีเรียชนิดที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย จะเห็นได้ว่ามีผลิตภัณฑ์หลายชนิดที่สกัดสารเหล่านี้ขึ้น เช่น โยเกิร์ต ถือเป็นอาหารประเภทที่มีโปรไบโอติกส์สูง ซึ่งหลายคนเลือกรับประทานเพื่อให้สามารถขับถ่ายได้ดีขึ้น แต่พบว่า การกินผักดองที่ใช้ผักพื้นบ้านมาปรุงให้เหมาะสมกับตนเอง หรือธาตุเจ้าเรือนที่แต่ละคนมีความแตกต่างกันนั้นจะช่วยเพิ่มแบคทีเรียชนิด ที่มีประโยชน์ต่อการย่อย โดยมีทั้งโปรไบโอติกส์ และพรีไบโอติก หรือเรียกว่า ซินไบโอติกส์ จะทำให้ช่วยเพิ่มการทำงานของโปรไบโอติก เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงต่อสุขภาพได้ด้วย” ภญ. ผกากรอง กล่าว
ภญ.ผกากรอง กล่าวอีกว่า การรับประทานอาหารหากไม่สมดุลก็สามารถทำให้เกิดการเจ็บป่วยได้ โดยเฉพาะหากร่างกายไม่สามารถย่อยอาหารและดูดซึมอาหารได้ดี โดยผักดองถือเป็นภูมิปัญญาพื้นบ้าน ซึ่งให้ประโยชน์และมีค่าใช้จ่ายน้อย จะเห็นได้ว่า บางประเทศมีการกินผักดองทุกมื้อ เช่น เกาหลี ญี่ปุ่น โดยที่ใส่ชนิดของผักให้เข้ากับสภาพอากาศ เช่น เติมขิงมากๆ เมื่อมีอากาศหนาว ซึ่งจะช่วยเพิ่มความอบอุ่นได้ ส่วนประเทศไทย ถือว่ามีผักพื้นบ้านจำนวนมาก โดยผักที่สามารถนำมาดองได้ เช่น ผักเสี้ยน ผักกุ่ม ผักสามรส ที่ทำจากแครอท หัวไชเท้า แตงร้าน พริกชี้ฟ้า ผักกาดขาว มาผสมกัน เป็นต้น อย่างไรก็ตามการเพิ่มผักดองในมื้ออาหาร ถือเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพกับระบบการขับถ่ายและเมื่อร่างกายสามารถขับถ่าย ได้ตามปกติโอกาสจะเกิดการเจ็บป่วยก็น้อยลง
ผักรวมดอง (สามรส)
เครื่องปรุง
แตงกวา 3-4 ผล
กะหล่ำปลี ¼ กิโลกรัม
ดอกกะหล่ำ ¼ กิโลกรัม
แครอท 1 หัว
พริกหวาน 3-4 เม็ด
น้ำส้มสายชู ½ ถ้วย
น้ำตาลทราย 1 ถ้วย
เกลือป่น 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำเปล่า 1 ถ้วย
น้ำเกลือ (เกลือ 2 ช้อนโต๊ะ น้ำเปล่า 2 ถ้วย)
วิธีทํา
1. ล้างผักทุกชนิดให้สะอาด โดยเฉพาะกะหล่ำปลีกะหล่ำดอก ต้องล้างผ่านน้ำก๊อกหลายๆ ครั้ง
2. แตงกวา แครอท และพริกหวาน หั่นตามขวางเป็นแว่นหนาประมาณครึ่งเซนติเมตร หรือจะแกะสลักเป็นรูปดอกไม้ใบไม้ตามชอบ ดอกกะหล่ำตัดช่อพอคำ กะหล่ำปลีผ่าซีกหั่นเป็นชิ้น เสร็จแล้วนำผักทั้งหมดแช่น้ำเกลือไว้ประมาณ 30 นาที นำขึ้นล้างแล้วผึ่ง
3. ผสมน้ำส้มสายชู เกลือ น้ำตาลทราย น้ำเปล่า ในหม้อเคลือบ นำขึ้นตั้งไฟ พอเดือดยกลงกรองด้วยผ้าขาวบาง นำขึ้นตั้งไฟอีกครั้ง พอเริ่มเหนียวยกลง พักไว้ให้เย็น
4. จัดผักลงในขวดแก้วหรือขวดโหล เทน้ำดองใส่ให้ท่วมผัก ปิดฝาให้สนิท ดองไว้ 2-3 วัน รับประทานได้
หมายเหตุ
- ขวดแก้ว ขวดโหล ควรฆ่าเชื้อโดยการต้มหรือนึ่ง ดังนั้นจึงควรเป็นขวดแก้วทนไฟ
- ถ้าต้องการดองระยะเวลาเร็ว 1-2 วัน ให้เพิ่มความเข้มข้นในน้ำดอง โดยการเติมน้ำส้มสายชู น้ำตาลทราย และเกลือ
Wednesday, August 27, 2014
อยู่กับความต่าง อย่างเข้าใจ
อยู่กับความต่าง อย่างเข้าใจ
ปัญหาเกินครึ่งหนึ่งในโลกนี้ มาจากมุมมองของความต่าง และความคาดหวัง เราเองก็มีมุมมองของเรา มีประวัติศาสตร์อันยาวนานที่ผ่านมาของตัวเราเอง คนอื่นเขาเองก็เช่นกัน เขาก็มีมุมมองและประวัติศาสตร์อันยาวนาน ที่แตกต่างจากคนอื่นเช่นกัน
อ่านตรงนี้ หลายคนอาจพยักหน้างึกงัก ok ก็รู้น่ะ แต่พอถึง เหตุการณ์จริง ข้อมูลที่รู้นี้ กลับไม่ได้ช่วยอะไรเลย
เพราะเราชอบทึกทักเอาเอง เข้าข้างตัวเอง ในชีวิตที่ผ่าน ระหว่างเรากับคนอื่น เราทำผิดหรือคนอื่นทำผิดมากกว่ากัน คำตอบ คือ.....
มันเป็นอย่างนี้มั๊ย
ถ้าถามอะไรที่เราทำได้ดี เราเก่ง เราจะบอกได้ยืดยาว มันมากมายเหลือคณา แต่พอถามว่า ข้อเสียของเรามีอะไรบ้าง.. มันทำไม กลับนึกอะไรไม่ค่อยออกเอาซ่ะเลย
มนุษย์เราส่วนใหญ่ก็วนกันอยู่แบบนี้ เป็นวัฏจักร ใครเป็นมาก ก็เห็นมาก ใครเป็นน้อย ก็เห็นน้อย
ทำให้ความสุขที่เราน่าจะมีกันได้มากมาย ไม่จำกัด กลับลดลงอย่างมีนัยตามอัตตาของแต่ละคน
ทำยังไง ให้เราอยู่แบบมีความสุขตามที่เราควรเป็น
- มองคนอื่น จากมุมของเขา ไม่ใช่จากมุมของเรา
- พยายามให้มากขึ้น ที่จะเข้าใจคนอื่น อย่างจริงจัง ประหนึ่ง เขาคือ เพื่อนคนเดียวในโลกนี้ ที่เหลืออยู่ ถ้าไม่มีเขา เราก็จะไม่มีใครจริงๆ
- อะไรๆ ที่เคยเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมา มันไม่ใช่เพราะตัวของเรื่องเองหรอก แต่เป็นเพราะอารมณ์ร่วมที่เราใส่ลงไปต่างหาก
แล้วเราจะสามารถ อยู่กับความต่าง อย่างเข้าใจ ที่ แท้จริง
ตามโค้ชต่อได้ที่ Facebook Fan Page: Weena Image Coach
ปัญหาเกินครึ่งหนึ่งในโลกนี้ มาจากมุมมองของความต่าง และความคาดหวัง เราเองก็มีมุมมองของเรา มีประวัติศาสตร์อันยาวนานที่ผ่านมาของตัวเราเอง คนอื่นเขาเองก็เช่นกัน เขาก็มีมุมมองและประวัติศาสตร์อันยาวนาน ที่แตกต่างจากคนอื่นเช่นกัน
อ่านตรงนี้ หลายคนอาจพยักหน้างึกงัก ok ก็รู้น่ะ แต่พอถึง เหตุการณ์จริง ข้อมูลที่รู้นี้ กลับไม่ได้ช่วยอะไรเลย
เพราะเราชอบทึกทักเอาเอง เข้าข้างตัวเอง ในชีวิตที่ผ่าน ระหว่างเรากับคนอื่น เราทำผิดหรือคนอื่นทำผิดมากกว่ากัน คำตอบ คือ.....
มันเป็นอย่างนี้มั๊ย
ถ้าถามอะไรที่เราทำได้ดี เราเก่ง เราจะบอกได้ยืดยาว มันมากมายเหลือคณา แต่พอถามว่า ข้อเสียของเรามีอะไรบ้าง.. มันทำไม กลับนึกอะไรไม่ค่อยออกเอาซ่ะเลย
มนุษย์เราส่วนใหญ่ก็วนกันอยู่แบบนี้ เป็นวัฏจักร ใครเป็นมาก ก็เห็นมาก ใครเป็นน้อย ก็เห็นน้อย
ทำให้ความสุขที่เราน่าจะมีกันได้มากมาย ไม่จำกัด กลับลดลงอย่างมีนัยตามอัตตาของแต่ละคน
ทำยังไง ให้เราอยู่แบบมีความสุขตามที่เราควรเป็น
- มองคนอื่น จากมุมของเขา ไม่ใช่จากมุมของเรา
- พยายามให้มากขึ้น ที่จะเข้าใจคนอื่น อย่างจริงจัง ประหนึ่ง เขาคือ เพื่อนคนเดียวในโลกนี้ ที่เหลืออยู่ ถ้าไม่มีเขา เราก็จะไม่มีใครจริงๆ
- อะไรๆ ที่เคยเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมา มันไม่ใช่เพราะตัวของเรื่องเองหรอก แต่เป็นเพราะอารมณ์ร่วมที่เราใส่ลงไปต่างหาก
แล้วเราจะสามารถ อยู่กับความต่าง อย่างเข้าใจ ที่ แท้จริง
ตามโค้ชต่อได้ที่ Facebook Fan Page: Weena Image Coach
"ทำไมเราโชคดีแบบนี้?" VS "ทำไมกูซวยแบบนี้?"
ถ้าคุณมีจิตใต้สำนึกแห่งการสร้างความมั่งคั่งจริง
คุณจะแปลกใจว่าคุณมักจะเจอเรื่องที่ไม่เคยรู้ เหตุการณ์ที่ไม่เคยคิด
โอกาสใหม่ๆหรือแม้แต่คนที่คุณไม่รู้จักเข้ามาช่วย
หรือมาทำให้คุณมีความมั่งคั่งมากกว่าเดิมเสมอๆ โดยที่คุณก็อาจจะรู้สึกแปลกๆ
เหมือนกัน และตั้งคำถามว่า
"ทำไมเราโชคดีแบบนี้?"
นั่นเป็นเพราะกฏแห่งแรงดึงดูด จากจิตใต้สำนึกของคุณในการสร้างความมั่งคั่งที่ทำสิ่งต่างๆ ออกไปต่อคนรอบข้าง สังคมรอบตัวมาอย่างต่อเนื่อง จนสิ่งที่คุณทำจะต่อเนื่องเป็นลูกโซ่กระจายไปเรื่อยจนไปกระทบกับสิ่งอื่นๆ หรือคนอื่นๆ จนรับรู้และมองเห็นถึงการกระทำจากจิตใต้สำนึกในการสร้างความมั่งคั่งของคุณ จึงกลับมาหาคุณในรูปแบบต่างๆ เหมือนคนแปลกหน้าที่อยากรู้จักคนที่มีความสนใจในสิ่งเดียวกันนั่นเอง
ตรงกันข้ามถ้าคุณมีจิตใต้สำนึกของความขาดแคลน สิ่งที่คุณทำออกไปก็มักจะดึงดูด สิ่งต่างๆ เหตุการณ์หรือผู้คนที่มักจะกลับมาสร้างความเดือดร้อน ทำให้เรายากจนลงเสมอๆ จนมักถามกับตัวเองว่า
"ทำไมกูซวยแบบนี้?"
ลองมองย้อนกลับดูว่าในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา คุณมักจะมีความรู้สึกที่มีความสุข มั่งคั่ง ร่ำรวยมากขึ้นไหม หรือ รู้สึกว่าทำไมซวย ทำไมมีแต่เรื่องเดือดร้อน เงินไม่พอจ่าย รายได้ทรงๆ ทรุดๆ หาเรื่องดีๆ จริงๆ จังๆ ที่เกิดขึ้นได้น้อยเหลือเกิน
ชีวิตของคุณจะรวยหรือจะจน ทั้งหมดขึ้นกับจิตใต้สำนึกที่สั่งสมมาตั้งแต่วัยเด็กของคุณนั่นเอง อย่ามัวแต่ไปโทษคนอื่น หรือสิ่งอื่นๆ มากนักเลยครับ คุณดึงสิ่งหรือคนเหล่านั้นเข้ามาเองซะเป็นส่วนใหญ่ด้วยตัวคุณเอง
"ทำไมเราโชคดีแบบนี้?"
นั่นเป็นเพราะกฏแห่งแรงดึงดูด จากจิตใต้สำนึกของคุณในการสร้างความมั่งคั่งที่ทำสิ่งต่างๆ ออกไปต่อคนรอบข้าง สังคมรอบตัวมาอย่างต่อเนื่อง จนสิ่งที่คุณทำจะต่อเนื่องเป็นลูกโซ่กระจายไปเรื่อยจนไปกระทบกับสิ่งอื่นๆ หรือคนอื่นๆ จนรับรู้และมองเห็นถึงการกระทำจากจิตใต้สำนึกในการสร้างความมั่งคั่งของคุณ จึงกลับมาหาคุณในรูปแบบต่างๆ เหมือนคนแปลกหน้าที่อยากรู้จักคนที่มีความสนใจในสิ่งเดียวกันนั่นเอง
ตรงกันข้ามถ้าคุณมีจิตใต้สำนึกของความขาดแคลน สิ่งที่คุณทำออกไปก็มักจะดึงดูด สิ่งต่างๆ เหตุการณ์หรือผู้คนที่มักจะกลับมาสร้างความเดือดร้อน ทำให้เรายากจนลงเสมอๆ จนมักถามกับตัวเองว่า
"ทำไมกูซวยแบบนี้?"
ลองมองย้อนกลับดูว่าในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา คุณมักจะมีความรู้สึกที่มีความสุข มั่งคั่ง ร่ำรวยมากขึ้นไหม หรือ รู้สึกว่าทำไมซวย ทำไมมีแต่เรื่องเดือดร้อน เงินไม่พอจ่าย รายได้ทรงๆ ทรุดๆ หาเรื่องดีๆ จริงๆ จังๆ ที่เกิดขึ้นได้น้อยเหลือเกิน
ชีวิตของคุณจะรวยหรือจะจน ทั้งหมดขึ้นกับจิตใต้สำนึกที่สั่งสมมาตั้งแต่วัยเด็กของคุณนั่นเอง อย่ามัวแต่ไปโทษคนอื่น หรือสิ่งอื่นๆ มากนักเลยครับ คุณดึงสิ่งหรือคนเหล่านั้นเข้ามาเองซะเป็นส่วนใหญ่ด้วยตัวคุณเอง
Tuesday, August 19, 2014
การลงทุนที่ผิดพลาดที่สุด
ผัว เมีย คู่หนึ่ง ทะเลาะกันว่าด้วยเรื่องการเก็งกำไรทอง
เมียบอกให้ผัว ขายทองที่ซื้อมา 20,000 บาท เมื่อกลางปี ออกไปซะ เพราะกลัวว่าราคาทองจะลดต่ำลงอีก หลังจากที่ขาดทุนมามากแล้ว
แต่ผัว ไม่ยอม เพราะเชื่อว่า ราคาทองจะขึ้นไปถึง เกือบ30,000 บาท เหมือนเมื่อปีที่แล้ว
ทำให้เมียโมโหมาก ตะโกนต่อว่า ว่า
“กอด ไอ้การลงทุน ที่ผิดพลาดที่สุด ในชีวิต ของแกไป ซะเถอะ ไอ้โง่!!!”
เมื่อเมียพูดจบ
“ผัวก็เดินมากอดเมีย…..”
เมียบอกให้ผัว ขายทองที่ซื้อมา 20,000 บาท เมื่อกลางปี ออกไปซะ เพราะกลัวว่าราคาทองจะลดต่ำลงอีก หลังจากที่ขาดทุนมามากแล้ว
แต่ผัว ไม่ยอม เพราะเชื่อว่า ราคาทองจะขึ้นไปถึง เกือบ30,000 บาท เหมือนเมื่อปีที่แล้ว
ทำให้เมียโมโหมาก ตะโกนต่อว่า ว่า
“กอด ไอ้การลงทุน ที่ผิดพลาดที่สุด ในชีวิต ของแกไป ซะเถอะ ไอ้โง่!!!”
เมื่อเมียพูดจบ
“ผัวก็เดินมากอดเมีย…..”
ปลดล็อคกรงขังความคิดพนักงาน
- ปลดล็อคกรงขังความคิดพนักงาน
- รศ.ดร.ศิริยุพา รุ่งเริงสุข
- HR & Management
สัปดาห์นี้ขอนำเสนอประเด็นที่ว่าทำอย่างไรสังคมไทยที่ค่อนข้างจะไม่ค่อยอ้าแขนรับการเปลี่ยนแปลง
การคิดนอกกรอบ จะสามารถพัฒนาปลูกฝังบุคลากรของเราให้เป็นคนใฝ่เรียนรู้ด้วยตนเองตลอดเวลา
เป็นคนมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์มองหาช่องทางในการปรับปรุงการทำงานของ ตนเองและองค์กรให้ดีขึ้นอยู่เสมอๆ โดยไม่ต้องมีหัวหน้างานมายืนชี้นิ้วสั่ง
คราวก่อนดิฉันได้นำเสนอกลยุทธ์การนำและการบริหารที่หัวหน้างานทุกระดับ สามารถนำไปปฏิบัติเพื่อที่จะปลูกฝังนิสัยใฝ่รู้ ขยันหาข้อมูล สนใจอ่านหนังสือให้แก่ลูกน้องไปบ้างแล้ว ซึ่งเชื่อว่าหากหัวหน้าและลูกน้องประสบความสำเร็จในการปูพื้นฐานการเป็นคน ใฝ่เรียนรู้ และฝึกวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อสรุปประเด็นในการนำเสนออยู่บ่อยๆ จะเป็นการสร้างพื้นฐานที่ดีสำหรับการก้าวต่อไปเป็นผู้มีความคิดริเริ่ม เป็นผู้สร้างนวัตกรรมและเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงที่มีประสิทธิภาพ
เราต้องทำความเข้าใจก่อนว่าคนเราทุกคนไม่ได้เกิดมา พร้อม DNA ที่มีความสร้างสรรค์อยู่ในตัวเสมอไป แต่เราสามารถฝึกฝน สร้างวัฒนธรรมค่านิยมและบริหารสิ่งแวดล้อมตั้งแต่ในบ้าน ในโรงเรียนและสถานที่ทำงานให้เอื้ออำนวยกับการบ่มเพาะทัศนะคติ พฤติกรรมการเรียนรู้และการทำงานของบุคลากรให้เป็นในแนวทางสร้างสรรค์อย่าง ที่ปรารถนาได้ในระดับที่น่าพึงพอใจ ทั้งนี้เราต้องตระหนักว่าสำหรับคนธรรมดาทั่วไปที่ไม่ได้มี DNA สร้างสรรค์ในตัวมากนักก็ต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่งในการพัฒนาพวกเขา
ทั้งนี้ผู้ที่มีบทบาทสำคัญมากที่สุดในการ ประกบ กระตุ้น และ กำกับ ให้พนักงานคิด พูดและปฏิบัติงานในเชิงรุกอย่างสร้างสรรค์และมีวิสัยทัศน์ก็คือหัวหน้างาน โดยตรงนั่นเอง เคยเห็นใช่ไหมคะว่ามีพ่อแม่หลายคู่ที่เป็นผู้มีการศึกษาดี ทำงานในองค์กรชั้นนำ แต่ยุ่งกับการงานมากจนไม่มีเวลาดูแลลูก ปล่อยให้พี่เลี้ยงเป็นคนดูแลเลี้ยงดู ผลก็คือเด็กในวัย 1-5 ขวบที่ใช้เวลาอยู่กับพี่เลี้ยงเป็นส่วนใหญ่ก็จะเรียนรู้และลอกเลียน บุคลิกภาพและพฤติกรรมของพี่เลี้ยง เด็กหลายคนพูดภาษาไทยด้วยสำเนียงท้องถิ่นของพี่เลี้ยง (ดิฉันเองไม่มีอคติในเรื่องของสำเนียงการพูด เจตนาคือเพื่อแสดงให้เห็นอิทธิพลของสิ่งแวดล้อมกับการเรียนรู้ของคนเราค่ะ) ชอบทานอาหารแบบที่พี่เลี้ยงชอบ ชอบดูรายการโทรทัศน์และฟังเพลงแนวที่พี่เลี้ยงชอบ ซึ่งกว่าพ่อแม่จะปรับแก้พฤติกรรมของลูกให้เป็นในแนวทางที่ปรารถนาก็ต้องใช้ เวลาพอสมควร
เช่นเดียวกันกับการสร้างพฤติกรรมหรือแก้ไข พฤติกรรมของพนักงานที่คิดว่า การทำงานตามคำสั่งถือว่าเป็นเรื่องที่ดีแล้ว ไม่ได้คิดว่าบางทีหัวหน้าอาจสั่งงานเราพลาดก็ได้ เราควรมีความคิดเป็นของตัวเอง แสวงหาข้อมูลมาปรึกษาวิเคราะห์กับหัวหน้า เพื่อช่วยกันค้นหาแนวทางที่ดีที่สุดร่วมกัน ในการที่จะปลดล็อคกรงขังความคิดของพนักงาน (และของตัวผู้นำเอง) ทั้งนี้เราสามารถทำได้ผ่านกิจกรรมและวิธีการต่างๆ เหล่านี้ค่ะ
ฝึกการใช้ชีวิตส่วนตัวและการทำงานที่ต้องออกจาก สภาพแวดล้อมที่คุ้นเคย (Get out of your comfort zone) คำพูดนี้ได้ยินคนฝรั่งและคนไทยพูดกันบ่อยๆ แต่ก็เป็นเรื่องที่คนที่พูดหลายคนทำไม่ได้ จากประสบการณ์ของตนเองและจากการศึกษาบุคลิกภาพของผู้นำการเปลี่ยนแปลงที่ ประสบความสำเร็จหลายท่านพบว่า การที่เราต้องเดินทางไปทำงานหรือไปพำนักในสถานที่ซึ่งไม่คุ้นเคย การเปลี่ยนเส้นทางการเดินทางจากบ้านไปที่ทำงาน การรับประทานอาหารประจำท้องถิ่นอื่นๆ ที่เราไม่คุ้นเคย การฝึกทำงานด้วยมือข้างที่ไม่ถนัด ฯลฯ
ดิฉันลองกับตัวเองแล้วในหลายๆ รูปแบบ เช่น หัดนั่งรถเมล์ในถิ่นที่เราพูดภาษาของเขาไม่ได้ มีเพียงแต่แผนที่ในมือ บางครั้งก็ลองจินตนาการว่าหากเราต้องไปใช้ชีวิตอยู่ในสถานที่ซึ่งไม่ค่อย พัฒนา ไม่มีเครื่องทุ่นแรงและเทคโนโลยีครบแบบในเมืองใหญ่จะทำอย่างไร อาหารก็เลือกไม่ได้ แล้วเมื่อต้องทานในสิ่งที่ถิ่นนั้นมีอยู่ ดิฉันแสวงหาประสบการณ์เช่นนี้ในชีวิตอยู่เป็นระยะๆ ทำให้ตนเอง อยู่ได้ ในหลายสภาพแวดล้อม บางทีต้องนอนในเต็นท์หรือในที่พักเล็กๆ หรือนั่งสัปหงกกับเพื่อนร่วมทางตามป้ายรถเมล์ ต้องฝึกตัวเองให้หัดสังเกตการณ์ดีๆ หูไวตาไวเพื่อเอาตัวรอดจากสถานการณ์คับขัน แต่ละครั้ง แต่ละหนที่ผ่านประสบการณ์เหล่านั้นล้วนให้บทเรียนที่มีคุณค่าที่สอนให้ดิฉัน ทิ้งกฎเกณฑ์และกรอบความคิดต่างๆ ไปได้มากพอสมควร และพร้อมที่จะเรียนรู้ทำความเข้าใจเพื่อปรับตัวเข้ากับสิ่งใหม่
องค์กรสามารถจัดสภาพแวดล้อมการทำงานที่ฝึก ให้พนักงานต้องออกจากมุมสบาย และมุมปลอดภัย (Comfort zone และ safety zone) ได้เช่นกัน ยกตัวอย่างเช่นทำการสลับหน้าที่งาน (Job rotation) กันทำเพื่อสร้างทักษะให้พนักงานสามารถสลับหน้าที่งานได้ เวลาเกิดเหตุวิกฤตฉุกเฉินที่พนักงานบางตำแหน่งมาทำงานไม่ได้ ชาวญี่ปุ่นเขาก็ใช้วิธีการนี้ในการฝึกงานพนักงานเช่นกันเพื่อสร้างความ ยืดหยุ่นคล่องตัว
ฝึกให้คิดหาวิธีการทำงานมากกว่าหนึ่งวิธี (Find other possible ways to work) คนที่เกลียดการเปลี่ยนแปลงมักจะชอบการทำงานที่เหมือนเดิม ไม่ต้องคิดมาก ไม่ต้องคิดใหม่ แต่ในยุคของการแข่งขันดุเดือดและเทคโนโลยีสื่อสารก้าวหน้าแบบนี้ ขืนไม่มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงคงไม่มีใครอยู่รอด ผู้นำจึงต้องสร้างระบบการทำงานที่กระตุ้นและกำกับให้พนักงานต้องมีความคิด สร้างสรรค์มากขึ้น โดยเราเริ่มจากการฝึกคิดในประเด็นงานประจำวันก่อน ยังไม่ต้องคิดอะไรยากๆ มากนัก เช่น ให้พิจารณากระบวนการขั้นตอนในการทำงานประจำวันของพนักงานแต่ละคนว่าวิธีการ ที่ทำอยู่นั้นมีข้อดี ข้อด้อยอย่างไร พนักงานมีข้อเสนอแนะอะไรบ้างที่จะทำงานที่รับผิดชอบอยู่ด้วยวิธีอื่นที่เร็ว กว่าเดิมหรือประหยัดกว่าเดิม นี่คือการฝึกให้คิดในระดับบุคคล แต่บางคนอาจจะหัวสี่เหลี่ยมจริงจริ๊ง...ประมาณว่าคิดไม่ออกเลย แล้วแต่หัวหน้าจะสั่งก็แล้วกัน แบบนี้หัวหน้าก็ต้องรู้จักป้อนคำถามให้เขารู้จักคิด
ทั้งนี้งานระดับปฏิบัติการที่ใช้เครื่องจักรทำงานเป็นส่วนใหญ่อาจจะทำให้ พนักงานไม่ทราบว่าจะปรับปรุงวิธีการทำงาน (ของเครื่องจักร) อย่างไร หัวหน้างานก็ต้องหาประเด็นอื่นๆให้พนักงานคิดให้เหมาะสมตามสถานการณ์นะคะ เรื่องของการฝึกคนให้คิดเป็น คิดอย่างสร้างสรรค์ กล้าเปลี่ยนแปลงและมีวิสัยทัศน์อย่างเห็นผลจับต้องได้ต้องอาศัยองค์ประกอบ และขั้นตอนการพัฒนาที่เป็นรูปธรรมหลายประการดังที่กล่าวไปแล้ว
แค่ส่งพนักงานไปฝึกอบรมเรื่องการมีความคิดสร้างสรรค์สัก 2-3 วัน แล้วนึกว่าพอเพียงที่จะสร้างให้พวกเขาเป็นนักสร้างสรรค์นั้น ขอบอกว่าท่านอาจกำลังคิดผิด ครั้งหน้าจะคุยกันต่อว่าเราจะเชื่อมโยงความคิดสร้างสรรค์ของพนักงานให้ตอบ โจทย์ลูกค้าและตลาดได้อย่างไรกันค่ะ
Saturday, August 16, 2014
ปัจจัยแห่งความสำเร็จ (เพื่อน)
"เมื่อเรามีเป้าหมายในการทำชีวิตให้ดีขึ้น มั่นคงขึ้น
เราต้องใช้เวลาในชีวิตของเราส่วนใหญ่กับเพื่อนๆ
หรือคนรู้จักที่มีจุดหมายเหมือนเรา"
อาจจะเจ็บปวดบ้างที่ต้องออกห่างเพื่อนหลายๆ คนที่อยากอยู่กับที่ไม่ได้ต้องการไปกับเรา แต่เมื่อเวลาไม่เคยหยุดนิ่ง ทุกสิ่งเปลี่ยนไป เราก็ต้องเลือกระหว่าง "อนาคตของเรา กับเพื่อนๆ หรือคนรู้จักที่ไม่มีการพัฒนา"
อ้างอิงจาก
https://www.facebook.com/ChachchaiInvestment
https://www.facebook.com/1510690999161931?ref=hl
http://www.access-school.net/HOME.html
อาจจะเจ็บปวดบ้างที่ต้องออกห่างเพื่อนหลายๆ คนที่อยากอยู่กับที่ไม่ได้ต้องการไปกับเรา แต่เมื่อเวลาไม่เคยหยุดนิ่ง ทุกสิ่งเปลี่ยนไป เราก็ต้องเลือกระหว่าง "อนาคตของเรา กับเพื่อนๆ หรือคนรู้จักที่ไม่มีการพัฒนา"
อ้างอิงจาก
https://www.facebook.com/ChachchaiInvestment
https://www.facebook.com/1510690999161931?ref=hl
http://www.access-school.net/HOME.html
Subscribe to:
Posts (Atom)