Friday, January 22, 2010

ตำนาน สัตว์โบราณของตํานานกรีก [ตำนาน นิทาน เรื่องเล่า]

[ตำนาน นิทาน เรื่องเล่า]



คิมีร่า Chimera หรือ Chimaera ชื่อกรีก= Χιμαιρα ชื่อภาษาละติน= Chimæra

คิมีร่าเป็นสัตว์ในตำนานกรีก มีส่วนผสมของสัตว์อีกสามชนิด ได้แก่ สิงโต แพะ และงูหรือมังกร โดยมันมีส่วนหัวปกติจนไปถึงอกเป็นสิงโต ส่วนกลางของมันเป็นแพะ และมีส่วนท้ายเป็นงู มีหัวงูอยู่ที่ตรงปลายหางสามารถศัตรูได้ ซึ่งแต่ละหัวของมันนั้น มีความคิดเป็นของตัวเอง หัวมังกรของมันสามารถพ่นไฟได้ หายใจเป็นเปลวไฟ หางมันเป็นงูพิษร้ายแรง กัดแล้วถึงตายในทันที คิเมร่าเป็นลูกของอสูรกายไทฟอน และอิคิดนา มีพี่น้องหกตัวได้แก่ เซอร์บีรัส ไฮดรา นีเมียน สฟิงซ์ และเลดอน


คิมีราบุกเข้าทำลายเมือง ลีเซีย(Lycia) ทำให้กษัตริย์โลเบทีสซึ่งเป็นเจ้าปกครองเมืองอยู่ในขณะนั้น ต้องการผู้มาปราบเจ้าสัตว์ร้ายตนนี้ บังเอิญวีรบุรุษ เบลเลอโรฟอน ขี่ม้าบินปีกาซัสผ่านมาพอดีจึงอาสาที่จะฆ่าเจ้าสัตว์ร้ายตนนี้ แต่มันออกจะเป็นเรื่องยาก เพราะแต่ละหัวของมันมองได้ทุกทิศทาง เบลเลอโรฟอนขี่ม้าบินเพกาซัสฉวัดเฉวียนอยู่เหนือคู่ต่อสู้ คอยหลบเปลวเพลิงที่พรุ่งพรวยออกมาจากปากของมัน และกระหน่ำห่าธนูใส่ จนในที่สุดเจ้าอสูรร้ายก็สิ้นชีพ

ส่วนอีกตำนานกล่าวว่า เบลเลอโรฟอนใช้ตะกั่วเสียบไว้ที่ปลายหอกของเขา เมื่อโดนไฟของคิมีราทำให้ตะกั่วละลายเข้าไปในปากของมัน ทำให้มันถึงจุดจบ....



บาซิลิสก์ (Basilisk) เป็นงูใหญ่ที่น่ากลัวและน่าสยดสยองในตำนานกรีกและยุโรป ซึ่งแค่มองผ่านเหยื่อก็ทำให้เหยื่อตายได้ ในทำนองเดียวกับ เมดูซ่า
ได้มีนักเล่านิทานคนหนึ่งอธิบายว่า บาซิลิสก์เป็น "งูที่มีมงกุฎสีทองเล็กๆ บนหัว ในยุคกลางมีผู้เชื่อว่ามันเป็นเพียงงูที่มีหัวเหมือนไก่ บางครั้งก็มีหัวเป็นคน บาซิลิสก์เกิดจากไข่ที่ออกมาจากพ่อไก่ระหว่างที่ กลุ่มดาวสุนัขใหญ่ ปรากฏบนท้องฟ้า และได้คางคกเป็นผู้กกไข่ การมองเห็นบาซิลิกก์นั้นน่ากลัวสยดสยองมาก ถ้าสัตว์ใดก็ตามได้เพียงเห็นมันมองผ่าน แม้แต่ทางกระจกก็อาจตายได้ทันทีเพราะความกลัว วิธีเดียวที่จะฆ่ามันได้ก็คือต้องถือกระจกไว้ข้างหน้าตัวมันก่อนที่มันจะมอง ผ่านมา เมื่อมันมองมาในกระจกนั้น มันก็จะเห็นเงาตัวมันเองในกระจกและตายในทันที มีผู้เชื่อว่าบาซิลิสก์มีเขาหรือมีพังผืดด้วย"
ในยุโรปสมัยกลาง บาซิลิสก์ถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ของความชั่วร้าย โดยคู่กับกริฟฟิน ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความดี บาซิลิสก์เป็นสัญลักษณ์ของเมือง บาเซิล (Basel) ใน ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ บาซิลิสก์ถูกนำไปใช้หลายครั้งตามนิยายแฟนตาซีต่างๆ และเป็นที่รู้จักในวงกว้างจากเรื่อง แฮรี่ พอตเตอร์กับห้องแห่งความลับ




กริฟฟิน (หรือกรีฟอน) ที่ใครหลายคนรู้จักกันดีอยู่แล้วนั้น คุณแน่ใจแล้วหรือว่าคุณรู้จักมันจริงๆ? ถ้าคิดว่าแน่ลองมาตอบคำถามข้อนี้ของผมดู


^ ตัวนี้เพศผู้หรือเพศเมีย?
แค่นี้แหละครับ ถามสั้นๆ ง่ายๆ.. แต่ตายเรียบถ้าคุณรู้คำตอบก็ยินดีด้วย แสดงว่าคุณคลั่งไคล้เรื่องแฟนตาซีเอาการเชียวล่ะ เพราะมีแค่ไม่กี่คนหรอกที่รู้ว่ากริฟฟินที่เราเห็นกันบ่อยๆ นั้นเป็นเพศเมียแทบทั้งสิ้น
ใช่แล้วครับ คำตอบคือเพศเมีย เพราะอะไรน่ะรึ? ก็เพราะกริฟฟินตัวผู้ไม่มีปีกน่ะสิ! ถ้าผมไปถามใครว่า "นายรู้ไหมว่ากริฟฟินมีลักษณะอย่างไร" คำตอบที่ได้ก็มักจะเป็นสัตว์ที่ "มีหัวและปีกเป็นอินทรี มีลำตัวเป็นสิงโต" ใช่มั้ยล่ะ? แต่ข้อเท็จจริงก็คือมีแต่กริฟฟินตัวเมียเท่านั้นที่มีปีก ส่วนตัวผู้บริเวณที่เป็นปีกจะเป็นหนามแหลมแทนครับ ลักษณะทางกายภาพเด่นๆ บางอย่างของกริฟฟินที่ไม่ค่อยมีคนพูดถึงกันนักก็คือการที่มันมีหูอย่างม้า หรือลา และในบางครั้งก็มีหางเป็นงูด้วย (ภาพข้างต้นกริฟฟินมีหูแบบลา แต่ไม่มีหางเป็นงู) นอกจากนี้กริฟฟินยังมีอุปนิสัยบางประการคล้ายกับมังกร เช่นชอบทองและอัญมณี ในบางครั้งก็ขโมยมาปกปักไว้เป็นของตัวเองเสียด้วย ด้วยเหตุนี้กริฟฟินจึงเป็นสัญลักษณ์ของการพิทักษ์รักษาสิ่งมีค่าต่างๆ



ตำนานเกี่ยวกับเทพเจ้าของกรีกรวมทั้งกวีนิพนธ์ของ โฮเมอร์ ปราชญ์ใหญ่เรื่อง อีเลียดกับโอดิสซีย์นั้น ได้มีการเอ่ยอ้างถึงการต่อสู้ ระหว่างวีรบุรุษกับอสุรสัตว์ไว้มากมาย มีภาพเขียนและประติมากรรมแสดงถึงอสุรสัตว์เหล่านี้ไว้ด้วย ทำให้นักโบราณคดีต่างพากันพิศวงว่าสัตว์ใหญ่รูปร่างประหลาดทั้งหลายนี้มีตัว ตนจริงหรือไม่ โดยเฉพาะ เอเดรียน เมเยอร์ นักตำนานศาสตร์ เธอจึงออกค้นคว้าหาร่องรอยของอสุรสัตว์ที่ปรากฏในตำนานกรีกโบราณ
แหล่งแรกที่เธอเดินทางไปศึกษาในปี ค.ศ. 1982 ก็คือเกาะซามอส แห่งทะเลเอเจียน ณ ที่นี้ เคยเป็นสมรภูมินองเลือดซึ่งกวีกรีกนาม พลูตาร์ช ได้รจนาไว้ถึงการศึกระหว่าง ไดโอนีซุส ผู้ได้ สมญาว่าเทพแห่งไวน์กับนักรบสตรีเผ่าอเมซอน ที่เรารู้จักกันดี บนเกาะนี้มีโครงกระดูกโบราณเกลื่อนกลาดอยู่มากมาย จนในพิพิธภัณฑ์ของซามอสมีจัดแสดงห้องหนึ่งโดยเฉพาะที่เรียกว่า “ห้องกระดูก” กล่าวกันว่าห้องนี้เป็นที่รวบรวมกระดูกของเหล่านักรบกรีก หากทว่าโครงกระดูกที่เอเดรียนเห็นนั้น มันมีขนาดใหญ่โตกว่าร่างมนุษย์ธรรมดาถึง 3 เท่า แม้จะรู้ว่าคนโบราณตัวใหญ่กว่าคนปัจจุบัน แต่ก็ดูจะมหึมาเกินไป และสารานุกรมเกี่ยวกับยุคหิน ที่ตีพิมพ์ในปี 1997 ก็ระบุว่า “ใหญ่กว่ามนุษย์ธรรมดา น่าจะเป็นกระดูกสัตว์ยักษ์มากกว่า”
งั้นเป็นยักษ์ตนใดในตำนานของโฮเมอร์?
เอเดรียนค้นคว้าต่อไปและพบบันทึกของ ฟิโลสตราตัส ปราชญ์กรีกเขียนไว้ในศตวรรษที่ 2 ถึงเรื่องโครงกระดูกยักษ์ที่จมดินอยู่บนเกาะเล็มนอส ทางตอนเหนือของทะเลเอเจียน และเมื่อเอเดรียนติดตามไปดูโครงกระดูกดังกล่าว เธอก็ต้องตื่นตะลึงเมื่อได้เห็นหัวกะโหลกของร่างนั้นมีขนาดมหึมาด้วยความจุ ถึง 40-50 ลิตร!
กะโหลกดังกล่าวมีรูกลมเบ้อเริ่มอยู่บริเวณหน้าผาก เมื่อพิเคราะห์แล้วไม่น่าจะใช่รูจมูก ซึ่งทำให้เอเดรียนพลันหวน รำลึกถึงตำนานโอดิสซีย์ของโฮเมอร์ที่กล่าวถึง ไซคลอป (Cyclop) ยักษ์ตาเดียวที่เลี้ยงฝูงแกะอยู่บนเกาะ และคอยจมเรือที่ผ่านไปมาเพื่อจับมนุษย์กินเป็นอาหารอันโอชะ เมื่อ โอดิสซีอุส วีรบุรุษกรีกเดินทางกลับมาตุภูมิ หลังจากเสร็จสิ้นสงครามกรุงทรอย เขากับสมัครพรรคพวกได้แวะที่เกาะซึ่งไซคลอปอาศัยอยู่แล้วถูกจับขังไว้ในถ้ำ แต่โอดิสซีอุสได้ทำอุบายเอาไม้ยาวทิ่มลูกตาของไซคลอปจนบอดและหลบหนีออกมาได้
หัวกะโหลกนี้จะเป็นของยักษ์ตาเดียว หรือแท้ที่จริงเป็นกะโหลกของมาสโตดอน หรือแมมมอธช้างดึกดำบรรพ์ เป็นสิ่งที่เอเดรียนต้องวิเคราะห์ต่อไป

ที่มา : http://www.zheza.com

[ตำนาน นิทาน เรื่องเล่า]

1 comment:

  1. ข้อความเยอะดีคับ น่าทึ่งมาก ขอขอบคุณสำหรับ สาระสำคัญ ที่ผมไม่เคยรู้
    และก็ได้รู้ที่เวปนี้ ผมคลิ๊กเข้ามาทางลายเซ็นของคุณคับ
    ทางเวปบรอด SEO มาเยี่ยมบ้านผมบ้างนะ
    http://vacation-in-thailand.blogspot.com/
    ผมทำมา2 ปีแล้ว ยังไม่ได้เรื่องเล้ยย ศึกษาเองน้ะคับ ทำไปเรื่อยๆ
    ^_^

    ReplyDelete