Tuesday, September 30, 2014

วิตามินซี จาก 10 ผลไม้เพื่อหน้าสวยเปล่งปลั่ง

คงเคยได้ยินกันมาบ้างแล้วว่า ถ้าอยากผิวสวย ต้อง “วิตามินซี” แต่วิตามินซีเพื่อผิวสวยจะต้องทานอะไรเข้าไป หรือเพียงแค่ใช้มาส์กผิว และผลไม้อะไรที่มีวิตามีนซีสูงบ้าง แล้วจริงๆ วิตามินซีทำไมถึงทำให้ผิวพรรณของเราสวยได้ วันนี้เรามีคำตอบค่ะ. ..
ประโยชน์ของวิตามินซีกับผิวพรรณ
วิตามินซี หรือชื่อเต็มว่า Ascobic Acid เป็นวิตามินที่มนุษย์ไม่สามารถสร้างได้เอง จำเป็นต้องได้รับจากการทานเข้าไป มีหน้าที่หลักๆ เป็นสารต้านอนุมูลอิสระซึ่งจะป้องกันร่างกายจากอนุมูลอิสระ ซึ่งเกิดจากขบวนการในร่างกาย หรือจากมลพิษ สิ่งแวดล้อมรอบตัวเรา ซึ่งจะทำให้เซลล์ต่างๆ เสื่อม หรืออาจเปลี่ยนแปลงเป็นเซลล์ที่ผิดปกติได้ วิตามินซียังทำหน้าที่เป็นตัวช่วยในขบวนการต่างๆ ของร่างกาย เช่น การสร้างคอลลาเจน ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของเนื้อเยื่อเกี่ยวกับผิวหนัง และของเส้นเลือดให้แข็งแรง ไม่เปราะ ยืดหยุ่นได้ดี และยังช่วยลดการทำงานของเอนไซม์ที่ผลิตเม็ดสีผิว ดังนั้นจึงช่วยในการลดริ้วรอย ด่างดำ รอยสิวต่างๆ ได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังช่วยปรับสีผิวที่คล้ำจากแสงแดดให้ดูกระจ่างใสขึ้น โดยจะต้องใช้ในปริมาณที่เหมาะสมและมีความต่อเนื่องสม่ำเสมอ
ซึ่งผลไม้เนี่ยแหล่ะ ที่จะเป็นแหล่งของวิตามินซี ที่สาวๆ ทุกคนควรจะรับทราบและหมั่นบริโภคเข้าไป เพื่อให้ผิวพรรณของเราเปล่งปลั่ง สวยใส ด้วยธรรมชาติ โดยไม่จำเป็นต้องพี่งสารเคมีแต่อย่างใด แล้วผลไม้ที่มีวิตามินซี คือชนิดไหนบ้าง .. มาดูกันค่ะ
วิตามินซี
1. ส้ม
ส้มอุดมไปด้วยเส้นใยธรรมชาติ วิตามินซี เกลือแร่ และคอลลาเจนสูงทำให้ผิวพรรณมีความยืดหยุ่น และมีน้ำมีนวล เปล่งปลั่ง ชุ่มชื้นขึ้น โดยนวดเปลือกส้มแล้วสับให้ละเอียด จากนั้นนำไปทาบริเวณใบหน้า คอ และไหล่แล้วปิดทับด้วยผ้าบางๆ ทิ้งไว้ 15 นาทีแล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น เสร็จแล้วใช้ครีมบำรุงผิวตามปกติ สูตรนี้จะช่วยให้ความชุ่มชื้นกับผิวหน้าได้มากเลยทีเดียว หรือ ผสมเนื้อส้ม 1 ผล กับ โยเกิร์ตรสธรรมชาติ 1 ถ้วย นำมาปั่นรวมกับโยเกิร์ต โดยไม่ต้องปั่นระเอียดมากนัก นำส่วนผสมที่ได้มาพอกให้ทั่วใบหน้า เว้นรอบดวงตาและริมฝีปากเอาไว้ 10-15 นาที แล้วล้างออก
วิตามินซี
2. แอปเปิ้ล
แอปเปิ้ล อุดมไปด้วยเพคตินที่ช่วยทำให้เล็บแข็งแรง ซึ่งจะมีวิตามินซีที่สามารถช่วยให้ผิวพรรณสวย เปล่งปลั่ง และยังเป็นผลไม้ที่ทานแล้วไม่ทำให้อ้วนอีกด้วย โดยนำแอปเปิ้ลไม่ปอกเปลือก 1 ผล น้ำผึ้งแท้ 1 ช้อนโต๊ะ นำมาปั่นให้ละเอียดพอกให้ทั่วใบหน้าที่ล้างสะอาดแล้ว ทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที แล้วล้างออกทำเป็นประจำ สัปดาห์ละครั้งแอปเปิ้ลจะช่วยดูดซับสิ่งสกปรกที่อุดตันตามรูขุมขนและลดเลือน จุดด่างดำ ส่วนน้ำผึ้งช่วยให้หน้านุ่มเนียนกระจ่างใสขึ้น
วิตามินซี
3. สตรอว์เบอร์รี่
วิตามินซีที่อุดมอยู่ในผลสตรอว์เบอร์รี่ รวมถึงวิตามินเอ ฟอสฟอรัส แคลเซียม แถมด้วยกรด Ascorbic acid ซึ่งสามารถช่วยบำรุงเซลล์เม็ดเลือดแดง เพียงรับประทานสตรอว์เบอร์รี่สดทุกวัน ก็จะทำให้ผิวพรรณของสาวๆ ก็จะเรียบเนียนเปล่งปลั่ง ช่วยชะลอความชรา และการเกิดริ้วรอยก่อนวัยอันควร โดยนำสตรอว์เบอร์รี่ 3-4 ผล โยเกิร์ต 1 ช้อนโต๊ะ น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ บดสตรอเบอร์รี่ให้ละเอียด เติมโยเกิร์ต และน้ำผึ้งลงไปเพื่อให้เป็นส่วนผสมข้นๆ ทาลงบนใบหน้าและลำคอที่ทำความสะอาดแล้ว ยกเว้นรอบบริเวณดวงตาทิ้งไว้ 10 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด โยเกิร์ตจะช่วยสร้างความสมดุลให้ผิวในขณะที่สตรอเบอร์รี่ช่วยทำความสะอาดและ กำจัดเซลล์ผิวเสื่อมสภาพทำให้ผิวจะกระจ่างใสและสดชื่น
วิตามินซี
4. สับปะรด
อุดมไปด้วยสารแอนตี้ออกซิแดนท์ อันได้แก่ วิตามินซี เบต้าแคโรทีน และแมงกานีสที่จะช่วยป้องกันอันตรายจากอนุมูลอิสระที่จะทำลายโครงสร้างของ เซลล์ผิวหนัง กินบ่อยๆ จะช่วยเสริมภูมิคุ้มกันของร่างกายได้ดีอีกด้วย โดยผสมน้ำสับปะรด น้ำผึ้ง น้ำสะอาดคนให้เข้ากัน พอกให้ทั่วบริเวณใบหน้ายกเว้นบริเวณปากและดวงตาทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาทีแล้วล้างออก สับปะรดช่วยขจัดเซลล์ที่ตายแล้ว ทำให้ผิวเปล่งปลั่ง กระจ่างใส และลดการอักเสบของผิวได้สับปะรดเป็นผลไม้ที่มีวิตามิน A วิตามิน C สูงช่วยต้านอนุมูลอิสระและมีเกลือแร่อีกหลายชนิดช่วยทำให้ผิวหน้าชุ่มชื้น ขึ้น
วิตามินซี
5. ทับทิม
ผลไม้รสเปรี้ยวอมหวานที่อัดแน่นไปด้วยวิตามินเอ ซี อีสูง ซึ่งมีคุณสมบัติเด่นด้านการเสริมสร้างผิวสวย กระจ่างใส ทั้งยังช่วยการทำงานของหัวใจได้เป็นอย่างดี ใครอยากมีผิวขาวสวย หัวใจแข็งแรง แนะนำให้ลองดื่มน้ำทับทิมวันละ 1 แก้วรับรองผิวพรรณสวยขึ้นแน่นอน หรืออาจใช้มาส์กสำเร็จที่สกัดมาจากทับทิมก็ได้ค่ะ
วิตามินซี
6. มะเขือเทศ
จะช่วยชะลอวัยให้อ่อนเยาว์ และยังช่วยป้องกันความเสื่อมของเซลล์ผิวได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะทานเล่นๆ หรือปั่นเป็นน้ำผล ไม้ทานก็ดีต่อสุขภาพผิว เช่นกัน หรือมาส์ก โดยการผสมน้ำมะเขือเทศ 1 ช้อนโต๊ะกับน้ำมะนาวสด 2-4 หยด แล้วใช้สำลีชุบน้ำมะเขือเทศกับมะนาวที่ผสมไว้บนผิวบริเวณที่ต้องการ ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที แล้วใช้น้ำอุ่นเกือบเย็นล้างออกเพื่อทำให้รูขุมขนหดตัวลงและบำรุงผิวให้ชุ่ม ชื้น
วิตามินซี
7. มะนาว
เป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง ซึ่งวิตามินซีที่ว่านี้ก็จะช่วยให้สาวๆ นั้นมีผิวพรรณที่นุ่มเนียนสดใส และเปล่งปลั่งด้วย โดยผสมน้ำมะนาวครึ่งลูกและดินสอพอง 4-5 เม็ด นำดินสอพองและมะนาวมาผสมให้เข้ากัน จะได้ครีมที่เหนียวข้น พอกทิ้งไว้ประมาณ 10 – 15 นาทีก่อนเข้านอน และล้างออกด้วยน้ำสะอาด ทำสัปดาห์ละประมาณ 3 – 4 ครั้ง จะทำให้หน้าใสมากขึ้น หรือผสมน้ำมะนาว 1 ช้อนชา และน้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ นำส่วนผสมมาคนให้เข้ากัน ทาให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 15 – 20 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด ทำแค่อาทิตย์ละ 1 ครั้ง ก็จะทำให้ใบหน้าอ่อนวัย ใส่เปล่งปลั่งค่ะ
วิตามินซี
8. ฝรั่ง
มีวิตามินซีมาก รวมถึงมีวิตามินเอและโพแทสเซียมในปริมาณสูง ช่วยขับสารพิษจนทำให้ผิวมีสุขภาพดีไร้ริ้วรอยเพิ่มภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย โดยนำเนื้อฝรั่งมาบดให้ละเอียด แล้วพอกหน้า จะช่วยป้องกันผิวเหี่ยวย่น วิธีแก้จุดสัมผัสที่หยาบกร้าน ถ้าคุณมีผิวที่กร้านจากการสัมผัสกับสิ่งต่างๆ ตลอดเวลาทำให้ผิวหนังแห้งสากได้
วิตามินซี
9. แตงโม
มีทั้งแร่ธาตุและวิตามินหลากหลายชนิดที่มีอยู่มากมาย ช่วยบำรุงผิวพรรณของสาวๆ ช่วงล้างไต และของเสียขับปัสสาวะในร่างกาย สามารถมาส์กได้โดยนำแตงโมมาฝานให้เป็นชิ้นบางๆ จากส่วนที่แดงที่สุด จากนั้นให้นำชิ้นแตงโมเหล่านั้นมาแปะให้ทั่วใบหน้า ทิ้งเอาไว้ประมาณ 30 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด
วิตามินซี
10. อะโวคาโด
เพราะในผลไม้ชนิดนี้มีวิตามิน เอ ซี อี ที่ช่วยบำรุงผิวพรรณ และสารแอนตี้ออกซิเดนท์อย่าง วิตามิน B1 B2 B6 โดยนำอะโวคาโดสดครึ่งลูกผสมน้ำผึ้ง 1 ช้อนชา แล้วมาส์กหน้าทิ้งไว้ 15 นาทีแล้วล้างออกด้วยน้ำธรรมดา จะทำให้ผิวหน้ากระชับตึง เฟิร์มขึ้นค่ะ
เป็นอย่างไรกันบ้างคะ สำหรับผลไม้ 10 ชนิด ที่อุดมไปด้วยวิตามินที่มีคุณสมบัติให้ผิวพรรณของเรานั้นขาวใส เปล่งปลั่ง แลดูอ่อนกว่าวัย ซึ่งการรับคุณค่าของวิตามินซีจากผลไม้เหล่านี้ ได้ทั้งทานเข้าไปและใช้มาส์กหน้าตามสูตรข้างต้น อย่างนี้สาวๆ ก็หมั่นบำรุงผิวหน้าตัวเองนะคะ รับรองว่าใครเจอจะต้องทัก ว่าอายุ 20 แน่นอน

Monday, September 29, 2014

อันตรายและโรคของ ′สังคมก้มหน้า′ที่ควรรู้

โรค′เท็กซ์เนค′ อาการของ′สังคมก้มหน้า′

อันที่จริงเรื่อง "เท็กซ์เนค" ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่พูดถึงกันมา 2-3 ปีแล้ว ที่ผมหยิบกลับมาเล่าสู่กันฟังอีกครั้งเป็นเพราะว่าตอนนี้มันกำลังกลายเป็น "โกลบอล ซินโดรม" คือออกอาการกันแพร่หลายไปทั่วโลก ตามการแพร่ระบาดของอุปกรณ์พกพาสารพัดตั้งแต่ สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต เรื่อยไปจนถึงอีบุ๊กรีดเดอร์ทั้งหลาย

ก่อนหน้านี้อุปกรณ์เหล่านี้ถูกจำกัดการใช้งานด้วยการเชื่อมต่อแต่ตอนนี้ เมื่อสามารถเชื่อมต่อได้ทุกที่ทุกเวลาเนื้อหาที่มากับหน้าจอก็หลากหลายมาก ขึ้น ดึงดูดใจมากขึ้น ทั้งไลน์ ทั้งเกม ทั้งอีบุ๊กสารพัด สัดส่วนการใช้งานต่อวันก็เพิ่มขึ้นมากมายมหาศาล ไปไหนมาไหนก็เจอแต่ผู้คนก้มหน้าลงหาจออิเล็กทรอนิกส์ ไม่ว่าจะเป็นบนรถไฟฟ้า รถประจำทาง ร้านอาหาร

หนักๆ เข้าเดินไปไหนมาไหน ยังไปในลักษณะ "ก้มหน้า" จนผู้ใหญ่ท่านหนึ่งค่อนแคะให้เข้าหูว่าสังคมยุคนี้กลายเป็น "สังคมก้มหน้า" ไปแล้ว

"เท็กซ์เนค" เป็นคำที่ นายแพทย์ดีน ฟิชแมน แพทย์กายภาพบำบัดผู้เชี่ยวชาญด้านบำบัดอาการของกระดูกสันหลังชาวอเมริกัน คิดขึ้นเพื่อใช้เรียกกลุ่มอาการของโรคที่เกิดขึ้นจากการ "ก้มหน้า" บ่อยๆ ซ้ำๆ และนานเกินปกตินี้ อาการที่เกิดขึ้นมีตั้งแต่ การปวดกล้ามเนื้อบริเวณไหล่ กล้ามเนื้อคอ ปวดศีรษะเรื้อรัง ปวดทุกวัน หนักเข้าก็อาจพาลไปถึงเกิดการอักเสบของข้อต่อกระดูกสันหลังส่วนบน ซึ่งถือว่าสาหัสเลยทีเดียวครับ

ที่น่ากังวลก็คือ การก้มหน้าในลักษณะนี้บ่อยๆ นานๆ จะส่งผลต่อบุคลิกท่าทาง และการเติบโตของร่างกายในเด็กและวัยรุ่นให้ออกมาบิดเบี้ยวโค้งงอจนต้องมาหา ทางแก้กันยุ่งยากในภายหลัง

ที่มาของโรคนี้คือการก้มนั่นแหละครับในทางการแพทย์เขาบอกว่าเพียงแค่การก้ม ศีรษะลงไปข้างหน้า ผิดจากท่าปกติตามธรรมชาติ (คือเมื่อหูของเราอยู่ในแนวเดียวกับไหล่) เพียงแค่นิ้วเดียว น้ำหนัก

ของศีรษะก็จะทำให้ กล้ามเนื้อ เอ็น กระดูกและเส้นประสาทในบริเวณไหล่ คอ ต้องแบกรับภาระหนักเพิ่มขึ้นมากแล้ว น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นด้วยการถ่วงไปข้างหน้าจะไปดึงรั้งกล้ามเนื้อเส้นเอ็น ทั้งหมดให้ต้องแบกรับภาระมากขึ้นตามไปด้วยอาการตึงจะเกิดขึ้นตามมาถ้าทำซ้ำๆ หลายๆ ครั้งก็จะเกิดการบาดเจ็บขึ้นได้ทั้งกับกล้ามเนื้อ เอ็น และเส้นประสาทในบริเวณดังกล่าว

ดร.ฟิชแมนเคยแสดงให้เห็นฟิล์มเอกซเรย์ของวัยรุ่นอเมริกันที่แสดงชัดเจนว่า กระดูกสองสามชิ้นบริเวณข้อต่อกระดูกสันหลังส่วนบนโค้งงอไปด้านหน้าแบบผิด ธรรมชาติเพราะเหตุนี้มาแล้ว

ข้อมูลที่ได้จากผลการศึกษาวิจัยชิ้นหนึ่งเมื่อปี2000ระบุว่า โดยเฉลี่ยแล้วศีรษะของคนเราจะหนักประมาณ 5 กิโลกรัม การก้มไปข้างหน้าทุกๆ 2 เซนติเมตร จะทำให้ไหล่ต้องแบกรับน้ำหนักมากขึ้น 100 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้น ถ้าก้มลงไป 6 เซนติเมตร น้ำหนักของศีรษะที่ไหล่ คอ และกระดูกสันหลังที่ต้องรองรับนั้นจะเพิ่มมากขึ้นเป็น 20 กิโลกรัม

น้ำหนักขนาดนั้นไม่ใช่เรื่องเล่นๆ นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมการก้มนานๆ ซ้ำๆ อยู่ทั้งวันถึงก่อให้เกิดอาการได้มากขนาดนั้น

คำแนะนำของแพทย์เพื่อการป้องกันไม่ให้เราตกเป็นเหยื่อของเท็กซ์เนคอย่าง ง่ายๆก็คือ ละสายตาจากจอ เปลี่ยนท่าจากการก้มหน้า ปล่อยให้ศีรษะกลับคืนสู่ท่าธรรมชาติในทุกๆ 15 นาที เงยหน้าขึ้น เหลียวไปรอบๆ ถ้ายังจำเป็นต้องจ้องจออยู่ก็ยกมันให้ขึ้นมาอยู่ในระดับสายตา เพื่อลดการแบกรับน้ำหนักของคอลงเป็นระยะๆ

ถ้าเป็นไปได้ก็ควรออกกำลังกาย ในแบบที่จะช่วยให้กล้ามเนื้อบริเวณคอและไหล่ได้ผ่อนคลาย จะเป็นโยคะก็ได้ หรือจะเป็นกายบริหารแบบพิลาทีสที่มุ่งเน้นไปที่การทำให้ร่างกายของเราอยู่ใน ท่าทางที่ถูกต้องก็ได้ ทำให้ได้ทุกวันจะป้องกันปัญหานี้ได้

ใครที่ใช้มาตรการประดานี้แล้วยังไม่ได้ผล แสดงว่า เท็กซ์เนคของคุณค่อนข้างไปทางรุนแรงแล้ว ควรไปพบแพทย์ อย่างน้อยๆ ก็อาจต้องใช้ยาจำพวกคลายกล้ามเนื้อช่วย แต่ถ้าอาการเกิดไปกระทบทำให้กลุ่มประสาทในบริเวณดังกล่าวถูกบีบ กดอยู่นานๆ จนเกิดอาการปวดประสาท ก็จัดอยู่ในขั้นต้องให้แพทย์ที่เชี่ยวชาญดูแลเป็นการเฉพาะจะดีที่สุด

แล้วก็ต้องลดการตกไปเป็นส่วนหนึ่งของ"สังคมก้มหน้า"ลงให้เหลือน้อยที่สุดแล้วละครับ

10 อันดับแนวทางที่จะฟื้นฟูความรักให้กลับคืนมา

พวกเราคงปฎิเสธไม่ได้ว่าคงจะต้องเจอกับปัญหาแบบนี้ อยู่บ้าง หรือไม่เคยรู้สึกมีปัญหากับอีกฝ่ายหนึ่ง โลกแห่งความจริงก็เป็นแบบนี้แหละ พวกเราก็ต้องพยายามปรับปรุงตัวเองให้ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ อย่าไปคิดเพ้อฝัน เราจะต้องสร้างความคิดให้เหมาะสมตามโลกแห่งความจริง จะมีอะไรบ้าง ลองมาดู 10 อันดับกัน


ชื่อ:  10.png
ครั้ง: 6865
ขนาด:  59.8 กิโลไบต์

10.สร้างความประหลาดใจ


ความซ้ำซากจำเจถือเป็นเรื่องที่น่าเบื่อหน่ายอย่างยิ่ง ถึงเวลาที่เราจะต้องทำในสิ่งที่แตกต่างกันออกไปได้แล้ว หากเราเลือกที่จะทำอะไรสักอย่างหนึ่งในสุดสัปดาห์ ก็ต้องพยายามหาอะไรสักอย่างที่ทำให้อีกฝ่ายหนึ่งรู้สึกประหลาดใจขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นการท่องเที่ยวที่แปลกใหม่ ดีกว่าการออกไปกินอาหารมื้อเดิมๆอยู่เสมอ ทำให้ทั้ง 2 ฝ่ายรู้สึกสนุกและตื่นเต้นขึ้นมาจากการทำอะไรสักอย่างหนึ่งที่ไม่เคยทำมา ก่อน

ชื่อ:  9.png
ครั้ง: 6846
ขนาด:  20.9 กิโลไบต์

9.สร้างอารมณ์ให้อยู่ในห้วงของความรัก


หากเราอยากมีอารมณ์ที่อยู่ในห้วงความรัก หรือหากไม่แล้ว เราก็ต้องฟังเพลงเพื่อเปลี่ยนแปลงความรู้สึกที่มีอยู่ข้างในของเรา หากการฟังเพลงทำให้เราอยู่ในอารมณ์ห้วงแห่งความรักได้นั้น ก็จะทำให้เรามีอารมณ์ทางเพศขึ้นมาได้ แล้วเพลงแบบไหนที่ทำให้เราเปลี่ยนอารมณ์ได้ล่ะ ก็อยู่ที่พวกเราเองว่า เราฟังเพลงแล้วรู้สึกแบบไหน ก็ต้องพยายามเลือกเพลงที่เหมาะสมกับทั้ง 2 ฝ่ายจะดีกว่ามาก



ชื่อ:  8.png
ครั้ง: 6874
ขนาด:  74.8 กิโลไบต์

8.ตรวจเช็คอารมณ์ของเราให้ดีๆ


เราลองนั่งดูแล้วก็ตรวจเช็คตัวเองภายในใจว่า ตัวเองมีอารมณ์ที่แปรปรวนมากน้อยแค่ไหนในแต่วัน ที่อาจจะทำให้ความสัมพันธ์อีกฝ่ายหนึ่งขาดสะบั้นลงได้หากอารมณ์ของเราอยู่ใน เกณฑ์ที่แย่เอามากๆ จะต้องจำไว้ว่าพวกเราจะต้องปรับปรุงแก้ไขและหมั่นเช็คอารมณ์ของตัวเองอยู่ เสมอ ไม่ใช่ไปบอกให้อีกฝ่ายปรับปรุงแก้ไข แต่เป็นตัวเราต่างหากที่เป็นฝ่ายที่จะต้องปรับปรุงแก้ไขก่อน




ชื่อ:  7.jpg
ครั้ง: 6828
ขนาด:  7.0 กิโลไบต์

7.ค้นหาตัวเองให้พบ


พวกเราจะต้องรู้ให้ได้ว่าจะต้องทำตัวเองอย่างไรให้ดีที่สุด เราจะต้องค้นหาตัวเองว่าสิ่งไหนที่จะทำให้เรากับอีกฝ่ายหนึ่งมีความสุขที่ สุด แน่นอนว่าคนส่วนใหญ่มักจะไม่ยอมดูตัวเอง แต่มักจะให้อีกฝ่ายหนึ่งสนองความปรารถนาตามที่พวกเขาต้องการ เราอย่าไปมองข้ามเรื่องนี้เป็นอันขาด เพราะว่าเราจะต้องใช้เวลาค้นหาตัวเองให้พบ ไม่ว่าจะเป็นจุดแข็ง จุดอ่อน ปัญหาต่างๆที่เข้ามาสะสมในชีวิตของเรา ล้วนส่งผลต่อความสัมพันธ์อีกฝ่ายทั้งสิ้น



ชื่อ:  6.jpg
ครั้ง: 6828
ขนาด:  8.0 กิโลไบต์

6.ตรวจเช็คฐานะการเงินของเราให้ดีๆ


นี่ถือเป็นกฎที่เราจะต้องใส่ใจเป็นอย่างยิ่ง แน่นอนว่าความรักส่วนหนึ่งบั่นทอนลงได้ก็เพราะเงินเป็นส่วนสำคัญเหมือนกัน เราก็ต้องมาเช็คการเงิน การคลังของตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่า พอที่จะประคับประคองทั้ง 2 ฝ่ายให้รอดได้ตลอดรอดฝั่งหรือเปล่า การพูดถึงเรื่องเงินจริงๆแล้วถือเป็นเรื่องที่น่าลำบากใจสำหรับคนส่วนใหญ่ ที่บางทีเขาหรือเธออาจมีปัญหาทางการเงินจนไม่สามารถอยู่ได้ตลอดรอดฝั่ง จะให้ดีก็ต้องพยายามแก้เกมส์ตรงส่วนนี้ให้ได้


ชื่อ:  5.png
ครั้ง: 6866
ขนาด:  60.1 กิโลไบต์

5.พยายามสัมผัสร่างกายอีกฝ่าย


หากเราได้สัมผัสร่างกายของอีกฝ่าย ก็คงรู้สึกดีไม่ใช่น้อย แต่เราจะต้องมีทักษะในการสัมผัสร่างกายอย่างที่อีกฝ่ายหนึ่งไม่เคยรู้สึกมา ก่อน ในความรักในชีวิตของพวกเรา พวกเราล้วนแล้วต้องการกำลังใจ สร้างอารมณ์และจิตใจให้อยู่ในระดับที่ดีขึ้นกว่าเดิม การสัมผัสที่ดีจะต้องสร้างความรู้สึกที่ดีขึ้นในการสัมผัสในครั้งต่อๆไป จะต้องมีจังหวะโอกาสในการสัมผัสที่เหมาะสม เพียงแค่นี้ทั้งสองฝ่ายก็เริ่มมีความรู้สึกดีกลับคืนมาแล้ว



ชื่อ:  4.png
ครั้ง: 6879
ขนาด:  95.0 กิโลไบต์

4.หาเวลาสร้างความสัมพันธ์ด้วยกันในช่วงสุดสัปดาห์


หากความสัมพันธ์ทั้งสองฝ่ายเริ่มสะบั้นลง ก็จะต้องหาเวลาช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ในการฟื้นฟูเยียวยาจิตใจทั้งสองฝ่ายให้ กลับคืนมาอีกครั้ง โดยเราจะต้องทบทวนอดีตที่ผ่านมาว่า มีปัญหาตรงส่วนไหนบ้าง มีข้อผิดพลาดตรงไหน และจะแก้ไขให้กลับมาดีขึ้นกว่าเดิมได้อย่างไร บางเรื่องก็ใช้เวลานานมากน้อยไม่เหมือนกัน เราก็จะต้องใช้ความกล้าในการสร้างความสัมพันธ์ให้กับคืนมาดีเหมือนเดิม



ชื่อ:  3.jpg
ครั้ง: 6821
ขนาด:  6.7 กิโลไบต์

3.สร้างความรักให้กลับคืนมาอีกครั้ง


หากเราอยากมีความสัมพันธ์ที่ดีกลับคืนมา ก็ต้องมาดูในส่วนต่างๆอย่างเช่น พฤติกรรมของแต่ละฝ่าย การพูดการจา รูปร่างหน้าตาของอีกฝ่ายหนึ่ง แล้วก็มาดูว่าจะมีวิธีอย่างไรให้ความรักกลับคืนมาเบ่งบานอีกครั้ง แน่นอนว่าหลายคนคงเจอสถานการณ์ที่แตกต่างกันออกไป ก็ต้องหาดอกไม้แต่ละชนิดที่แตกต่างกันออกไปด้วยเช่นเดียวกัน โดยเราก็ต้องค่อยๆหว่านเมล็ดพืชลงไปแล้วก็ทำการดูแลทะนุถนอมให้ดีจนมันเบ่ง บานขึ้นมาแล้ว




ชื่อ:  2.jpg
ครั้ง: 6856
ขนาด:  8.9 กิโลไบต์

2.จะต้องพูดในสิ่งที่เรารู้สึกลำบากใจออกมา


ทุกๆคนคงจะรู้สึกลำบากใจอยู่ไม่ใช่น้อยหากจะพูดอะไรออกมาที่อีกฝ่ายหนึ่ง อาจจะได้รับผลกระทบกระเทือนทางด้านจิตใจ เราอาจจะรู้สึกกลัวจนไม่อยากที่จะพูดออกมา เพราะกลัวความผิดและกลัวความโศกเศร้าเสียใจ แต่แน่นอนสถานการณ์ของคนเราก็ต้องพยายามหาทางแก้เกมส์ ซึ่งพื้นฐานหลักๆเลยก็คือ กล่าวคำว่า ขอโทษเป็นอันดับแรกไปก่อน แล้วเราก็พูดในสิ่งที่เรารู้สึกลำบากใจออกมา ไม่ว่าอีกฝ่ายหนึ่งจะรู้สึกยังไงก็ตาม มันก็เป็นเรื่องดีที่ทำให้อีกฝ่ายสามารถรู้ความจริงที่มีอยู่ และพยายามหาทางแก้ไขกันต่อไป



ชื่อ:  1.jpg
ครั้ง: 6872
ขนาด:  79.5 กิโลไบต์

1.ทำในสิ่งที่เราจะต้องทำ


ความสัมพันธ์ของเราตอนนี้เป็นอย่างไรบ้างล่ะ มีความราบรื่นมากน้อยแค่ไหน แน่นอนพวกเราก็รู้ว่าตัวเองจะต้องทำอะไรบ้าง แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่ยอมลงมือทำจริงๆ ทั้งๆที่ก็รู้อยู่แล้วว่า วิธีแบบนี้จะทำให้ความสัมพันธ์กลับมาฟื้นฟูใหม่ได้อีกครั้ง คงไม่ต้องให้ผมอธิบายอะไรมากหรอก เพราะพวกเราทุกคนรู้อยู่แล้วว่าจะต้องทำยังไง ลุยเสียตั้งแต่ตอนนี้ไปเลยครับ

Wednesday, September 24, 2014

วิธีเล่นหุ้นให้ได้กำไร โดยไม่ต้องเฝ้าจอ

วิธีเล่นหุ้นให้ได้กำไร โดยไม่ต้องเฝ้าจอ

คนที่เข้ามาลงทุน ในตลาดหลักทรัพย์มีเป็นจำนวนมากที่ต้องทำงานประจำ ไม่สามารถที่จะเฝ้าจอได้ตลอดเวลาเหมือนกับนักเล่นหุ้นมืออาชีพทั้งหลาย แต่คุณก็สามารถสละเวลาอันน้อยนิดมาดูจอสักสิบนาทีได้ ซึ่งจะขอบอกวิธีการดังต่อไปนี้

1. ต้องเลือกหุ้นพื้นฐานที่ดีให้ได้ก่อน ไม่ต้องไปกังวลว่าหุ้นตัวนี้ราคาสูง คนที่เขามีหุ้น ตัวละบาทล้านหุ้น ไม่ได้มีเงินมากกว่า คุณที่มีหุ้นตัวละร้อย แค่หมื่นหุ้น คำว่า ล้าน กับหมื่น มันต่างกันมาก แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า เขามีเงินมากกว่าคุณ

2. เมื่อได้หุ้นที่เหมาะสมแล้ว ให้ศึกษาหุ้นตัวนั้นย้อนหลัง อย่างน้อย 1 เดือน ดูราคา และปริมาณซื้อขายเป็นหลัก หลักง่ายๆ หุ้นตัวนั้นจะต้องอยู่ในกลุ่ม set 50 และเป็นหุ้นที่ most active

3. เวลาจะซื้อ ไม่ต้องบุ่มบ่ามเข้าไปซื้อเลย แต่ขอให้เข้ามาดูราคาใกล้ปิดตลาด ดูราคาซื้อขายที่ผ่านมาแล้วทั้งวัน ถ้าราคาใกล้ปิดตลาดต่ำกว่า ก็เข้ามาซื้อตอนที่เขาทำราคา matching เพื่อหาราคาปิด การซื้อเช่นนี้ จะทำให้คุณได้ราคาปิด ที่ค่อนข้างต่ำ เมื่อเทียบกับราคาทั้งวัน

4. เวลาซื้อ คุณต้องบริหารพอร์ต ของคุณด้วย อย่าไปซื้อหมดจำนวนเงินของคุณ ให้เริ่มด้วยประมาณ20--30% ก่อน

5. วันรุ่งขึ้น คือวันที่คุณควรขายเมื่อหุ้นขึ้นจะไปรออะไรอีกล่ะ หุ้นขึ้นคุณก็ได้กำไรแล้ว ไม่ต้องโลภ นี่คือเงินกำไรที่เข้ากระเป๋าคุณภานใน 1 วัน

6. ระหว่างวัน เมื่อคุณขายได้ควรตั้งรับไว้ในราคาที่ต่ำกว่า ไม่มีใครรู้ว่าหุ้นจะไปทางไหน แต่ถ้าคุณทำได้ ขายสูง ซื้อต่ำ ภายในไม่กี่ชั่วโมงก็สุดยอดแล้ว คุณได้เงินมาใช้ หุ้นก็เหลือเท่าเดิม

7. ในกรณีที่วันต่อไปหุ้นลง คุณก็ดำเนินการเหมือนอย่างที่กล่าวมาแล้ว ในข้อ 3 และ 4

8. แล้วก็ปฏิบัติการดังข้อ 5.

9. อย่าถามว่า ถ้าคุณซื้อแล้วหุ้นลงไปเรื่อยๆ จะทำอย่างไร คุณได้เลือกซื้อหุ้นที่คุณพิจารณา ว่ามีพื้นฐานดีที่สุดแล้ว คุณไม่มีเวลาที่จะเฝ้าหุ้นได้ ทั้งวันเช่นมืออาชีพทั้งหลาย ซึ่งเขาก็ไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้ แต่คุณต้องยอมรับกับตนเองว่า ถึงแม้มันจะลงวันนึงมันก็ต้องขึ้นมา

Cr.....คนเล่นกับหุ้น

นอนน้อย′ ทำสมองฝ่อ จริงหรือ ?

วารสารสถาบันประสาทวิทยาอเมริกันตีพิมพ์ผลการศึกษาระบุว่า ปัญหาการนอนไม่หลับเชื่อมโยงสัมพันธ์กับการเกิดอาการสมองฝ่อ หรือปริมาณเนื้อสมองลดน้อยลง หลังทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด ประเทศอังกฤษ วิจัยพบการเชื่อมโยงกันดังกล่าว

กลุ่มวิจัยทดลองโดยนำกลุ่มตัวอย่างที่เป็นผู้ใหญ่ 147 คน อายุ 20 ปี และ 84 ปี มาเข้ารับการตรวจสมองผ่านเครื่องสแกนเอ็มอาร์ไอ 2 ครั้ง ซึ่งการสแกนสมองแต่ละครั้งจะมีความห่างเฉลี่ย 3.5 ปี

จากนั้นนักวิจัยได้ให้กลุ่มตัวอย่างตอบแบบสอบถามเกี่ยวกับพฤติกรรมการนอน เช่น นอนนานเท่าไร, ใช้เวลานานเท่าไรกว่าจะนอนหลับ, หรือจำเป็นต้องใช้ยาช่วยให้นอนหลับหรือไม่

หลังกระบวนการค้นคว้าพบว่า กลุ่มตัวอย่างร้อยละ 35 จากจำนวนทั้งหมดมีคุณภาพการนอนหลับย่ำแย่ และยังพบอีกว่า บุคคลที่มีปัญหาการนอนไม่หลับ มีขนาดสมองหดเล็กลงเป็นวงกว้างในหลายส่วน เช่น สมองบริเวณหน้าผาก, สมองบริเวณขมับ, หรือเนื้อสมองตรงผนังหุ้ม ซึ่งกรณีเช่นนี้เห็นได้ชัดในคนที่มีอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป

อย่างไรก็ตาม แคลร์ อี. แซ็กตัน จากมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด ประเทศอังกฤษ ผู้เขียนรายงานชิ้นนี้ กล่าวว่า ยังไม่แน่ชัดว่าคุณภาพของการนอนหลับ เป็นสาเหตุ หรือเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างสมองกันแน่ ซึ่งจำเป็นต้องมีการศึกษาต่อเนื่องต่อไปในอนาคต เพราะหากการศึกษาในอนาคตชี้ว่าการปรับปรุงคุณภาพการนอนช่วยลดความเสี่ยง อาการสมองฝ่อ

ดังนั้น การแก้ไขพฤติกรรมการนอนซึ่งมีวิธีรักษาอยู่หลายหนทางก็อาจเป็นแนวทางสำคัญที่จะช่วยรักษาสุขภาพของสมองได้นั่นเอง

Wednesday, September 17, 2014

10 ความจริงอันโหดร้ายของมนุษย์เงินเดือน

10 ความจริงอันโหดร้ายของมนุษย์เงินเดือน T T
ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย แต่ความจริงหลายๆ อย่างก็ยากที่ยอมรับเหมือนกัน เหตุการณ์หลายๆ อย่างที่คนทำงานออฟฟิศน่าจะเจอกันบ่อยๆ อย่างน้อยก็ให้ไว้เตือนใจกันหน่อยแล้วกันนะครับ
1. ไม่มีใครทำงานได้ทุกอย่าง
แม้ว่าเราจะชอบมีคำพูดประเภทคนเราสามารถเป็นในสิ่งที่เราอยากเป็นได้ถ้า พยายาม มันเลยทำให้หลายๆ คนมักมีความคิดเรื่องการโยกย้ายตำแหน่ง บ้างก็อยากลองไปทำงานในแผนกอื่นๆ ที่ดูน่าสนใจกว่า ดูน่าทำงานมากกว่างานของตัวเอง แต่เชื่อเถอะครับว่าเอาเข้าจริงแล้วการไปทำงานที่ตัวเองไม่เคยทำนั้นไม่ใช่ เรื่องง่ายๆ และมีน้อยคนที่จะสามารถไปทำงานใหม่ได้อย่างประสบความสำเร็จ อาจจะมีบ้างที่พอสามารถทำงานกันไปได้ แต่ก็ไม่ได้โดดเด่นหรือ “ถูกหวย” แบบที่คนเก่งๆ หลายคนเอามาเหล่าให้ฟังกันหรอก ทั้งนี้เราต้องพูดกันบนความเป็นจริงว่าการทำงานต่างๆ นั้นจำเป็นต้องใช้ทักษะและความสามารถหลายอย่าง บางอย่างฝึกกันได้แต่บางอย่างฝึกกันไม่ได้ บางอย่างอาจจะฝึกได้แต่ต้องใช้เวลาซึ่งการทำงานมันรอไม่ได้ขนาดนั้น ฉะนั้นถ้าคุณคิดว่าจะลองเปลี่ยนสายงาน อยากไปทดลองงานใหม่ๆ นั้น ควรคิดกันให้ดีๆ ว่าคุณเหมาะและพร้อมจะไปลองจริงๆ นะครับ
2. ไม่ใช่ทุกคนที่จะชอบคุณไปหมด
ต่อให้คุณเป็นคนดีมากมายในออฟฟิศ แต่เชื่อเถอะครับว่ามันก็จะมีคนที่ไม่ชอบคุณ ไม่ถูกกับคุณจนได้ ฉะนั้นมันจึงเป็นเรื่องเหนื่อยเปล่าถ้าคุณคิดจะไปเอาใจและหวังให้ทุกคนใน บริษัทรักคุณ (ซึ่งมันก็เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว) คุณควรจะเลือกดูว่าคนไหนบ้างที่คุณควรให้ความสำคัญ ใครกันที่คุณควรจะแคร์และใส่ใจเป็นพิเศษ คุณอาจจะต้องแบ่งระดับความสำคัญของความสัมพันธ์กันให้ดีๆ แล้วดูว่าแต่ละคนอยู่ในระดับไหน อย่างไรก็ตาม แม้ว่าคุณจะไม่สามารถทำให้ทุกคนรักคุณได้ แต่อย่างน้อยก็ใช่ว่าคุณจะต้องสร้างศัตรูให้เยอะเต็มออฟฟิศนะครับ ^^”
3. เพื่อนร่วมงานบางคนเหมาะเป็นแค่เพื่อนร่วมงาน
จริงอยู่ว่าคุณอาจจะสนิทและไว้ใจเพื่อนร่วมงานหลายๆ คน แต่ก็ใช่ว่าทุกคนเหมาะจะกลายเป็นเพื่อนจริงๆ ของคุณในชีวิต ทุกวันนี้เรามักเจอสถานการณ์ประเภทพอเข้าที่ทำงานใหม่แล้วก็ Add Facebook กันไปหมดก่อนจะพบว่าภายหลังบางคนอยากจะ Unfriend ไปเสีย บางคนอยากจะ Block ไปเลยด้วยก็มี ทั้งนี้เพราะความสัมพันธ์ในที่ทำงานนั้นไม่ได้อยู่ในระดับความสัมพันธ์แบบ เพื่อนตั้งแต่ต้น มันก็จริงอยู่ว่าคุณอาจจะเจอคนที่ดี เจอคนที่ได้กลายเป็นเพื่อนสนิท กลายเป็นพี่ชาย กลายเป็นคนที่เคารพรัก แต่กับบางคนก็อาจจะดีกว่าถ้าคงความสัมพันธ์เป็น “เพื่อนร่วมงาน” หรือคุยกันด้วยเรื่องงานแทนที่จะคุยด้วยเรื่องส่วนตัว
4. วันนึงเพื่อนร่วมงานหรือไม่ก็คุณเองที่จะลาออก
แม้ว่าหลายๆ ครั้งคุณจะเจอเพื่อนร่วมงานที่คุณรักมาก เชื่อใจมาก หรือได้เจอหัวหน้าที่คุณรู้สึกว่าสุดยอดมากๆ อยากฝากชีวิตไว้กับเขา อยากทำงานร่วมกับเขาไปนานๆ แต่ความเป็นจริงแล้ววันหนึ่งคุณก็จะต้องแยกย้ายกันอยู่ดีเพราะแต่ละคนก็ต้อง มีทางชีวิตด้านหน้าที่การงานที่แตกต่างกันออกไป ลองคิดเล่นๆ ว่าถ้าคุณทำงานแผนกเดียวกับเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกับคุณ 5 คนไปเรื่อยๆ มันคงไม่สามารถที่ทั้ง 5 คนจะถูกดันขึ้นเป็นหัวหน้าแผนกเดียวกันได้ทุกคนอยู่แล้ว ถึงวันหนึ่งบางคนก็จะต้องเดินจากไป ไม่ทางใดก็ทางหนึ่งอยู่ดีนั่นแหละ
5. ต่อให้คุณทำดีแทบตาย ก็ใช่ว่าคุณจะได้รับการโปรโมต
เรื่องนี้เรามักพูดกันบ่อยๆ ว่าบางคนสร้างผลงานแทบตาย เป็นคนทำงานที่ใครๆ ก็ชื่นชอบแต่กลับไม่ได้เลื่อนขั้นเพราะเหตุผลต่างๆ นานา ไม่ว่าจะเป็นทั้งในแง่หัวหน้ามองไม่เห็น หรือพรีเซนต์ไม่เก่ง ถ้าเอาหนักๆ ไปเลยก็คือโดนคนอื่นตัดหน้า เล่นเส้นเล่นสาย ซึ่งเป็นตัวบั่นทอนกำลังใจอยู่ไม่น้อยทีเดียว กรณีนี้ต้องถือว่าวัดใจกับหัวหน้าและองค์กรอยู่พอสมควร เพราะถ้าหัวหน้าของคุณมองเห็นศักยภาพของคุณและพร้อมจะสนับสนุนแล้ว คุณก็ช่างโชคดีที่จะมีโอกาสก้าวหน้าได้อีกเยอะ แต่ถ้าคุณดันโชคร้ายไปอยู่กับหัวหน้าที่ไม่ได้คิดเรื่องนี้แล้วล่ะก็ คุณก็อาจจะโดนเก็บเข้าหลังบ้านเอาได้ง่ายๆ เช่นกัน
6. ทุกออฟฟิศมีการเมือง
“ที่นี่มีการเมืองไหม” เป็นคำถามที่ผมมักจะได้ยินบ่อยๆ เวลาคนเปลี่ยนที่ทำงานซึ่งถ้าคนที่ผ่านงานมากมายหลายออฟฟิศก็จะพูดเหมือนกัน แหละว่า “ที่ไหนๆ ก็มีการเมือง” ทั้งนี้เพราะเป็นเรื่องธรรมดาว่าในออฟฟิศนั้นล้วนมีคนหมู่มากเข้ามาอยู่ด้วย กัน มันก็ย่อมมีคนบางกลุ่มที่มีคาแรคเตอร์ต่างจากอีกกลุ่ม ไหนจะมีเรื่องการเปลี่ยนถ่ายคนตามกาลเวลา มันเลยไม่แปลกที่จะเกิดการแบ่งพรรคแบ่งพวกขึ้น ซึ่งไอ้พรรคพวกนี้แหละที่มักจะนำไปสู่ความขัดแย้งลึกๆ กันโดยไม่รู้ตัวและกลายเป็นเรื่องการเมืองระหว่างขั้วอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ พอเป็นเช่นนี้เราถึงพูดกันเสมอว่าคุณคงไม่สามารถเลี่ยงการเมืองในออฟฟิศได้ หากแต่คุณจะเลี่ยงมันได้แค่ไหน หรือในออฟฟิศนั้นจะรักษาระดับความรุนแรงที่เกิดจากการเมืองได้อย่างไรต่าง หาก
7. เรื่องที่ถูกต้องอาจจะไม่ใช่เรื่องที่คุณ (หรือคนอื่น) ถูกใจ
สิ่งที่คนทำงานมักจะเจอบ่อยๆ คือคำสั่งจาก “เบื้องบน” ที่หลายๆ ครั้งก็ฟังแล้วตะหงิดๆ ประเภทใช่เหรอ มันถูกต้องเหรอ และพอเรานำเสนอสิ่งที่เราคิดว่าถูกต้องแล้วก็ดันกลายเป็นว่าไม่ถูกใจหัวหน้า หรือคนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องไป เรื่องนี้มันเลยเข้าวัฏจักรที่ว่าหลายๆ อย่างที่คุณคิดว่ามัน “ถูกต้อง” มันก็อาจจะไม่ได้ “ถูกใจ” เสมอไป (เช่นเดียวกับเรื่องที่หลายๆ คน “ถูกใจ” มันก็ไม่ได้ “ถูกต้อง” เช่นกัน) ซึ่งเมื่อเราทำงานไปเรื่อยๆ นั้นก็จะเจอสถานการณ์ของความขัดแย้งนี้อยู่เรื่อยๆ เป็นธรรมดานั่นแหละครับ
8. คุณไม่ได้เป็นเจ้าของสินค้าหรือแบรนด์นั้นจริงๆ หรอก
ต่อให้คุณได้รับตำแหน่งเป็น Brand Manager / Product Manager หรือเป็นผู้บริหารแบรนด์อะไรก็แล้วแต่ที่ได้รับอำนาจมากมายในการตัดสินใจ สร้างสรรค์ หรือขีดเส้นต่างๆ เพื่อการบริหารจัดการ แต่ในความเป็นจริงแล้วคุณก็ไม่ได้เป็นเจ้าของมันจริงๆ แต่อย่างใดเพราะท้ายที่สุดมันก็คือสินทรัพย์ของบริษัทซึ่งวันหนึ่งผู้บริหาร อาจจะสั่งยกเลิก สั่งเปลี่ยน หรือสั่งย้ายคุณได้ (เว้นเสียแต่ว่าคุณจะเป็นเจ้าของบริษัทและสร้างมันขึ้นมาเองนั่นก็อีก เรื่อง) ฉะนั้นแล้วมันก็ดีถ้าคุณจะทุ่มเทและใส่ใจงานของคุณอย่างเต็มที่ประหนึ่งลูก แท้ๆ ของคุณ แต่คุณก็ต้องรู้ตัวว่าวันหนึ่งคุณก็จะต้องลาออกจากบริษัทและคุณก็ไม่สามารถ เอาแบรนด์หรือสินค้านั้นติดตัวคุณไปได้แต่อย่างใดหรอก
9. หลายๆ อย่างคุณทำเองได้ดีกว่า แต่คุณดันไม่ได้ทำงานนั้น
คนเป็นหัวหน้านั้นมักจะเจอสถานการณ์บ่อยๆ ประเภทเรื่องที่สั่งงานไปนั้นคุณรู้ว่าทำอย่างไรให้ดี ทำอย่างไรให้เร็วและมีประสิทธิภาพแต่พอลูกน้องไปทำแล้วดันไม่ได้ดั่งใจ บ้างก็รู้ว่าสามารถสร้างงานที่ดีกว่านี้ได้แต่คนอื่นดันทำไม่ได้และหลายๆ ครั้งมันก็สร้างความหงุดหงิดให้กับคุณเพราะมันไม่ได้ดั่งใจที่คุณวางไว้ แต่ก็นั่นแหละครับว่าทั้งบริษัทไม่ได้มีคุณคนเดียว และคุณก็ต้องยอมรับความจริงว่าหลายๆ อย่างนั้นคงไม่อาจได้ดั่งใจคุณ แต่มันก็เป็นไปไม่ได้ที่คุณจะทำมันเสียทุกอย่างเช่นกัน
10. คุณจะได้เงินเดือนน้อยกว่าคนอื่นอยู่วันยังค่ำ
ที่ผมขึ้นแบบนี้เพราะอยากเตือนคนทั้งหลายที่พยายามถามว่าเงินเดือนคนอื่น เท่าไร เพราะถ้าคุณเมื่อไรที่คุณตั้งคำถามว่าคนอื่นได้เงินเดือนเท่าไรแล้ว ยังไงคุณก็จะเจอคนที่มีเงินเดือนมากกว่าคุณอยู่ดี แม้ว่าในบริษัทจะไม่มีคนเงินเดือนมากกว่าคุณ แต่คุณก็จะไปรู้ว่าบริษัทอื่นให้เงินเดือนมากกว่า วนไปวนมาแบบนี้ ถ้าคุณไม่ยอมรับความพอดีของเงินเดือนคุณ คุณก็จะต้องเจอความจริงข้อนี้วนไปวนมาไม่รู้จักจบสิ้นหรอกครับ ผมเขียน 10 ข้อนี้ด้วยการนึกประสบการณ์ส่วนตัวประกอบไปด้วย ถ้าคุณมีข้ออื่นๆ ที่คิดว่าเข้าท่าเหมือนกันก็ลองเมนต์มาแลกเปลี่ยนกันนะครับ

Tuesday, September 16, 2014

อาหารสำหรับผู้ป่วยโรคเก๊าท์

“กรดยูริก” คือ สารที่เป็นตัวการทำให้เกิดข้ออักเสบในผู้ป่วยโรคเก๊าท์ สาเหตุสำคัญก็มาจาก “สารพิวรีน” ทั้งที่มีอยู่ในร่างกายและที่มีอยู่ในอาหาร อาหารที่เหมาะและไม่เหมาะกับผู้ป่วยโรคเก๊าท

ในที่นี้จะขอกล่าวถึงอาหารที่เหมาะและไม่เหมาะกับผู้ป่วยโรคเก๊าท์ ซึ่งเราสามารถแบ่งออกได้เป็น 3กลุ่ม ตามปริมาณของสารพิวรีนในอาหาร

1. อาหารที่มีสารพิวรีนมาก
อาหารที่มีสารพิวรีนมากจะมีผลต่อการอักเสบของโรคเกาต์ และมีผลอย่างมากต่อการเกิดโรคเกาต์ สำหรับอาหารที่มีสารพิวรีนมากที่ผู้ป่วยโรคเกาต์ควรงดเว้นและหลีกเลี่ยง ได้แก่ ตับ, น้ำต้มเนื้อ, น้ำเกาเหลา, ไต, น้ำสกัดจากเนื้อเข้มข้น, ตับอ่อน, น้ำซุปใส, ปลาไส้ตัน, น้ำปลาและกะปิจากปลาไส้ตัน, ปลาซาร์ดีน, ยีสต์และอาหารหมักจากยีสต์ เช่น เบียร์, หอยเชลล์, ปลาทู, ปลารัง, เนื้อไก่, เป็ด, นก และไข่ปลา

2. อาหารที่มีสารพิวรีนปานกลาง
อาหารที่มีสารพิวรีนปานกลาง ก็ยังถือว่าต้องควบคุมปริมาณการรับประทานซึ่งหมายถึง ผู้ป่วยโรคเกาต์ทานได้ในปริมาณจำกัด สำหรับอาหารที่มีสารพิวรีนปานกลางที่ผู้ป่วยโรคเกาต์ควรงดเว้นและหลีกเลี่ยง ได้แก่ เนื้อวัว, กระเพาะ, ผ้าขี้ริ้ว, เอ็น, เนื้อหมู, เนื้อปลา, ปู, กุ้ง, หอย, ถั่วเหลือง, ถั่วดำ, ถั่วแดง, ถั่วเขียว ผัก, หน่อไม้ฝรั่ง, ผักโขม, เห็ด, ดอกกะหล่ำ, ชะอม รวมทั้ง กระถิน

3. อาหารที่มีสารพิวรีนน้อย หรือเกือบไม่มีเลย
อาหารที่มีสารพิวรีนน้อย หรือเกือบจะไม่มีสารพิวรีนเลย เป็นอาหารที่ผู้ป่วยโรคเกาต์สามารถรับประทานได้ โดยไม่แสลงสำหรับอาหารที่มีสารพิวรีนน้อย หรือเกือบไม่มีเลยที่ผู้ป่วยโรคเกาต์ควรควบคุมปริมาณการรับประทาน ได้แก่ ขนมจีน, เส้นก๋วยเตี๋ยวทุกชนิด, วุ้นเส้น, บะหมี่, เส้นหมี่, ขนมปังปอนด์, มะกะโรนี, ข้าวโพด, แคร็กเกอร์สีขาว, ไข่, นม, ผลิตผลจากนม เช่น เนยแข็ง ไอศกรีม, น้ำมัน, น้ำมันพืช, กะทิ, เนย, น้ำมันหมู, ผัก, ผลไม้ทุกชนิด, เกาลัด, เม็ดมะม่วงหิมพานต์ , ขนมหวานต่างๆ ได้แก่ ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง เค้ก คุกกี้ เครื่องดื่ม เช่น กาแฟ, ชา, โกโก้ และ ช็อกโกแลต

ทั้งนี้ นอกจากการงดรับประทานอาหารที่มีสารพิวรีนดังกล่าวข้างต้นแล้ว ยังมีการปฏิบัติตัวอื่นๆ ที่สำคัญสำหรับผู้ป่วยโรคเก๊าท์ ดังนี้

ทานยาตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด
ดื่มน้ำวันละมากๆ เพื่อช่วยขับถ่ายกรดยูริก
งดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เช่น เหล้าชนิดต่างๆ เบียร์
หากจะต้องทำการผ่าตัด ควรแจ้งให้แพทย์ทราบว่าเป็นโรคเกาต์ เพื่อป้องกันโรคเกาต์กำเริบหลังผ่าตัด
หลีกเลี่ยงภาวะเครียดทั้งทางร่างกายและจิตใจ พยายามทำจิตใจให้สงบ

Saturday, September 13, 2014

ปวดหัว แก้ง่ายๆ แค่กิน

เรามาดูกันว่า อาหารอะไรบ้างที่ทำให้อิ่มท้อง แถมยังเป็นยาช่วยรักษาร่างกายได้ด้วย ไปดูกันเลย

ปลาทะเล
เช่น ปลาทู ปลาแซลมอน ปลากะพง เนื่องจากปลาทะเลมีโปรตีนสูงซึ่งทำหน้าที่ควบคุมระดับน้ำตาลในร่างกายให้คง ที่ เมื่อระดับน้ำตาลคงที่อาการปวดหัวก็จะลดลง รวมทั้งมีกรดไขมันโอเมก้า-3 ที่เป็นกรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกายเป็นตัวช่วยลดการอักเสบลดอาการปวด

กล้วย
กล้วยเป็นผลไม้ที่มีสารอาหารที่ดีต่อร่างกายหลายชนิด ทั้งวิตามินเอ วิตามินบี วิตามินซี และที่สำคัญมีแร่ธาตุโพแทสเซียม ที่ช่วยปรับสมดุลแร่ธาตุในร่างกาย จากการศึกษาพบว่ากล้วยช่วยลดความเครียดและทำให้เกิดความสุข

ขิง
ขิงสามารถนำมาปรุงอาหารได้ทั้งคาวและหวาน หรือแม้กระทั่งเป็นเครื่องดื่ม ขิงจะช่วยให้ผ่อนคลาย เลือดลมไหลเวียนได้ดี

ข้าวโพด
เนื่องจากข้าวโพด มีวิตามินบี 3 หรือไนอะซินสูง มีส่วนช่วยให้การไหลเวียนเลือดไปสู่สมองได้ดีขึ้น และลดความตึงเครียดของกล้ามเนื้อ ทำให้คลายความเมื่อยล้าได้

Thursday, September 11, 2014

เรื่อง ผมไม่เห็น

ขำๆๆคลายเครียด!!!เหตุปล้นธนาคาร
หลังจากโจรปล้นเสร็จ ก็คิดจะฆ่าปิดปากคนที่เห็นเหตุการณ์
จึงเอาปืนชี้แล้วหันไปถามชายคนแรก
“เมื่อกี้มึงเห็นกูปล้นไหม?”
ชายคนแรกตอบ…..”เห็นซิ”
สิ้นเสียงตอบ โจรยิงเปรี้ยงใส่หน้าผากตายทันที
โจรหันปืนไปหาชายคนที่สอง “เมื่อกี้มึงเห็นกูปล้นไหม?”
ชายคนที่สองรีบตอบเสียงดัง
..”กูไม่เห็น แต่เมียกูเห็น!!!”..

เรื่องเมนูวันนี้

สาวไทยรายหนึ่งแต่งงานกับหนุ่มฝรั่งเศสและเดินทางไปใช้ชีวิตคู่ร่วมกันอยู่ ที่นั่น แย่หน่อยที่สาวไทยคนเก่งของเราพูดภาษาฝรั่งเศสไม่ได้เอาซะเลย การไปจับจ่ายกับข้าวมาทำอาหารของเธอจึงเป็นฝันร้ายสุดๆเลยทีเดียว
วันนึง เธอเกิดอยากได้ขาหมูมาทำอาหาร เธอไปที่ร้านขายเนื้อและพบว่าไม่สามารถสื่อสารให้เจ้าของร้านเข้าใจได้ว่า เธอต้องการอะไร เธอตัดสินใจถลกกระโปรงขึ้นแล้ว โชว์ขาอ่อนให้เจ้าของร้านขายเนื้อ เจ้าของร้านเข้าใจทันที เขาจัดขาหมูให้เธอเรียบร้อยตามต้องการ
วันถัดมาเธอจะไปซื้อเนื้ออกไก่ คราวนี้เธอถอดเสื้อให้เจ้าของร้านดูอก เจ้าของร้านก็หัวไวเหลือหลาย เขาจัดอกไก่ให้เธอได้ตามต้องการอีกแล้ว
หลายวันต่อมา คราวนี้เธอเกิดอยากได้ไส้กรอกขึ้นมา เธอก็เลยพาสามีไปร้านด้วย...
.
.
.

.
เดี๋ยวๆ  คิดไปไกลล่ะ ..
แค่บอกสามีให้ช่วยบอกเจ้าของร้านแค่นั้นเองแหละ คิดอะไรอยู่กันฟร่ะ

อย่ารอ "ความสมบูรณ์แบบ"

อย่ารอ "ความสมบูรณ์แบบ"

สิ่งหนึ่งที่ทำให้ ใครบางคน ไม่ได้ทำอะไรบางอย่างซ่ะที คือ อยากรอจนสมบูรณ์แบบ รอความพร้อม ก่อนแล้วค่อยทำสิ่งต่อไป ซึ่งแน่นอน อะไรที่ว่านั้น ก็ไม่เคยได้เกิดจริงสักครั้ง

หลายคนบอกดิฉันว่า
"โค้ช... เดี๋ยว รอให้ผอมก่อน แล้วจะมาเรียนกับโค้ช แล้วว่าจะเริ่มปรับลุค"
ดิฉันตอบไปโดยไม่ลังเลเลยว่า " ไม่ต้องรอผอมหรอก มาเลย มาเริ่มกันเลย เพราะถ้ารอผอม คุณจะไม่มีโอกาสได้เริ่ม"

เมื่อไหร่กันล่ะ ที่เราจะรู้สึกว่าตัวเองผอม รู้สึกว่าตัวเองดีแล้ว เมื่อไหร่, วันที่เท่าไหร่ เดือนอะไร.... เมื่อไหร่กัน

ดิฉันมองว่าเหล่านั้น คือ ข้ออ้างทั้งสิ้น
ดิฉันไม่เคยนับจำนวน คนที่บอกว่าจะมาลงเรียนกับดิฉัน
แต่ดิฉัน นับคนที่มาเรียนได้จริงๆ เพราะนี่แหละ คือคนที่อยากเปลี่ยนจริงๆ

ถ้าวันนี้พวกเราอยากจะเริ่มทำโปรเจคอะไร ให้ได้ออกกก้าวใหม่ทุกๆวัน ไม่ว่าจะเป็น การออกกำลังกาย, การอ่านหนังสือ, การจัดการกับงานที่คั่งค้าง, การดูแลตัวเองและการดูแลคนที่เรารัก, การแต่งตัวใหม่ ที่ให้ชีวิตใหม่กับเรา อะไรก็ได้ ที่เป็นเป้าหมายของเรา เริ่มทำมันทุกๆวัน

สิ่งแรกที่เราจะได้คือ กำลังใจ ว่าเราสามารถเริ่มได้ เรามีวินัยกับตัวเอง สิ่งนี้สำคัญมากกว่าการทำให้เสร็จได้ในครั้งเดียวเสียอีก เพราะความมั่นใจนี้ มันเหมือนน้าที่รดลงบนต้นไม้ทีละหยดๆ ที่ต้นไม้นั้นค่อยๆเอาไปใช้ได้ ดีกว่าการราดน้ำทีเดียวทั้งถัง ต้นไม้ไม่สามารถเก็บเอาได้ทั้งหมด มันย่อยได้แค่ที่มันย่อยได้

ต่อไป คือ เราจะเห็นว่ามันเป็นรูปเป็นร่างขึ้น ในสิ่งที่เราได้ทำออกไป ดั่งที่เขาว่าไว้ว่า เรือที่เบนเข็มออก แม้เพียงครึ่งองศาไปเรื่อยๆ ปลายทางนั้นเป็นคนละเรื่องกับตอนแรก

ท้ายที่สุด ไม่ว่าโปรเจคเล็กใหญ่ที่พวกเราเริ่มและสานต่อจนเห็นอะไรบางอย่าง เราได้ผลลัพธ์ตามแรงที่เราลงไป อีกสิ่งที่ยิ่งใหญ่คือ ความรู้สึกว่า ทุกอย่างเป็นไปได้ทั้งสิ้น มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับอะไรที่เราเคยอ้างถึง ดินฟ้าอากาศ ยากดีมีจน ภาวะจำยอมต่างๆ
มันขึ้นอยู่กับเรา "เอาจริง" หรือเปล่าต่างหากที่สำคัญกว่า

ไม่มีใครยากจนที่สุดในโลกนี้ มีแต่คนที่มีความคิดที่ยากจน ทำให้เขาเลยต้องยากจน เพราะเราก็เห็นอยู่แล้วว่า มีคนรวยจากกองขยะ
ในโลกนี้มีแต่โอกาสทั้งสิ้น

สิ่งที่เราต้องทำ คือ เริ่มออกเดิน ตามหา อย่ามั่วนั่งรอความสมบูรณ์แบบ
ความสมบูรณ์แบบมีได้จากการทำ ... แต่มันไม่ได้มีมา ตั้งแต่ ที่จุดเริ่มต้น

Wednesday, September 10, 2014

หญ้าหวาน สมุนไพรรสหวานเจี๊ยบ เปี่ยมคุณค่า






หญ้าหวาน พืชสมุนไพรรสชาติหวาน สรรพคุณหญ้าหวาน และประโยชน์หญ้าหวาน มีมากมายจนคุณต้องประหลาดใจเลยเชียวล่ะ

ในทุกวันนี้ผู้คนต่างหันมาให้ความสนใจกับสุขภาพมากขึ้น มีหลายคนที่เลือกใช้สมุนไพรในการช่วยรักษาสุขภาพ และหนึ่งในสมุนไพรที่ปัจจุบันนี้กำลังได้รับความนิยมอย่างมากนั้นก็คือ หญ้าหวาน ที่เริ่มมีหลาย ๆ คนนำมาใช้ในการผสมเครื่องดื่มหรือทำอาหารด้วย เพราะเป็นพืชที่มีรสชาติหวานกว่าน้ำตาลแต่ไม่ทำให้อ้วน จึงถูกนำมาใช้เพิ่มความหวานแทนน้ำตาลกันมากขึ้น แต่ก็เชื่อว่ายังมีหลายคนที่ยังไม่รู้จักหญ้าหวานกันใช่ไหมล่ะ วันนี้เรามาทำความรู้จักกับหญ้าหวานให้ดีมากขึ้นกันเถอะ

หญ้าหวาน (Stevia) มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Stevia rebaudiana Bertoni เป็นพืชที่ถูกจัดอยู่ในวงศ์ ASTERACEAE เป็นพืชล้มลุกระยะยาว มีลักษณะคล้ายต้นกะเพราหรือต้นแมงลัก ลำต้นกลมและแข็ง มีใบเดี่ยว รูปหอก ขอบใบหยักคล้ายฟันเลื่อย ใบให้สารที่มีรสหวาน และมีช่อดอกสีขาว หญ้าหวานเป็นพืชพื้นเมืองของประเทศบราซิลและทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของ ประเทศปารากวัย ซึ่งมีการค้นพบว่าชาวพื้นเมืองปารากวัย ได้ใช้หญ้าหวานนี้ผสมกับชาเพื่อดื่มมาแล้วมากกว่า 1,500 ปี ต่อมาประเทศญี่ปุ่นก็ได้นำมาใช้อย่างกว้างขวาง สำหรับในประเทศไทยได้เริ่มมีการนำหญ้าหวานมาใช้กันอย่างแพร่หลายเมื่อ 20 ปีที่ผ่านมาเองค่ะ โดยนิยมปลูกในภาคเหนือ เพราะหญ้าหวานขึ้นได้ดีในสภาพอากาศค่อนข้างเย็น

สรรพคุณหญ้าหวาน กับประโยชน์ทางยา
หญ้าหวานถึงแม้จะเป็นสมุนไพรที่ไม่ได้ให้พลังงานกับร่างกายเหมือนพืชสมุนไพร ชนิดอื่น ๆ แต่หญ้าหวานก็มีสรรพคุณทางยาที่สำคัญหลายประการ โดยเฉพาะช่วยลดน้ำตาลในเลือด ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ต้องการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ช่วยบำรุงตับอ่อน ลดไขมันในเส้นเลือดและลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจ ความดันโลหิตสูงและโรคอ้วนได้ แถมยังช่วยสมานแผลทั้งภายนอกและภายใน ทำให้แผลหายไวขึ้นได้ รวมทั้งทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองมากขึ้น ใครที่รู้สึกไม่ค่อยมีแรงล่ะก็ลองดื่มเครื่องดื่มที่ผสมหญ้าหวานก็จะช่วยให้ มีกำลังวังชาเพิ่มขึ้นด้วยล่ะ และด้วยความที่หญ้าหวานเป็นพืชที่ไม่มีพลังงานนี่ล่ะ จึงมีการนำไปใช้ในการลดความอ้วนกันอย่างกว้าง ไม่ว่าจะใช้ผสมดื่ม หรือไปผลิตเป็นอาหารเสริม

หญ้าหวาน สมุนไพรพิชิตเบาหวาน
แม้ว่าหญ้าหวานจะเป็นสมุนไพรที่ให้ความหวานได้มากกว่าน้ำตาล 300 เท่า แต่ก็เป็นที่น่าอัศจรรย์เพราะระดับความหวานเหล่านั้นไม่ได้ทำให้ระดับน้ำตาล ในเพิ่มสูงขึ้น แถมยังช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด และบำรุงตับอ่อนได้อีกต่างหาก ดังนั้นผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานไม่ต้องกลัวถึงผลข้างเคียงของหญ้าหวานกัน แล้วล่ะค่ะ สามารถบริโภคหญ้าหวานได้อย่างแน่นอน

ประโยชน์หญ้าหวาน สิ่งดี ๆ ไม่ควรมองข้าม
ในปัจจุบันหญ้าหวานถูกนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปในรูปแบบต่าง ๆ อาทิเช่น ใบอบแห้ง, ใบแห้งบดสำหรับชงแบบสำเร็จรูป (ชาหญ้าหวาน), ใบสด, ใบแห้งบดสำหรับใช้แทนน้ำตาล (หญ้าหวานผง) และแบบสารสกัดจากใบแห้งด้วยน้ำ ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะนำมาชงดื่มหรือนำไปผสมกับเครื่องดื่มเสียมากกว่า เพราะในหญ้าหวานมีสารที่เรียกว่า สารสตีวิโอไซด์ ซึ่งให้ความหวานมากกว่าน้ำตาล 200-300 เท่า มีความทนทานต่อกรดและความร้อน และไม่ถูกย่อยสลายด้วยสารจุลินทรีย์ เมื่อใช้หญ้าหวานกับอาหารหรือเครื่องดื่มจึงไม่ทำให้เกิดการเน่าเสีย และไม่กลายเป็นสีน้ำตาลเมื่อผ่านความร้อนสูงอีกด้วย ซึ่งก็ทำให้ถูกนำไปใช้ในการผลิตอาหารหรือเครื่องดืมบางชนิดอย่างเช่น น้ำอัดลม น้ำชาเขียว ขนมเบเกอรี่ แยม เยลลี่ ไอศกรีม ลูกอม หมากฝรั่ง ซอสปรุงรส นอกจากนี้ สารสตีวิโอไซด์ยังถูกใช้ในการผลิตยาสีฟันในปัจจุบันอีกด้วย
หญ้าหวาน อันตรายหรือไม่ กินแล้วเป็นหมันจริงหรือ

แม้ว่าจะเคยมีการรายงานว่ามีชาวปารากวัยที่กินหญ้าหวานแล้วทำให้กลายเป็น หมันหรือไปลดจำนวนอสุจิให้น้อยลงก็ตาม แต่จากงานวิจัยก็พบว่า การใช้หญ้าหวานก็ไม่ได้ทำให้เกิดผลกระทบหรือผลข้างเคียงแต่อย่างใด เพราะได้มีการวิจัยแล้วกับหนูทดลองถึง 3 ชั่วอายุ ก็ไม่พบว่าจะมีหนูในรุ่นใดที่มีการกลายพันธุ์หรือกลายเป็นหมัน ขณะที่ในประเทศญี่ปุ่นก็มีการใช้หญ้าหวานมายาวนานถึง 17 ปี และมีรายงานการแพทย์ของอิเคดะ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1982 ซึ่งได้รายงานรับรองไว้ในเอกสารทางการแพทย์ว่า ว่า ไม่พบแนวโน้มความเป็นพิษในหญ้าหวานแต่อย่างใด ดังนั้นหญ้าหวานจึงสามารถใช้ได้แต่ก็ควรใช้ในปริมาณที่เหมาะสมค่ะ

นอกจากนี้ อาจารย์วีรสิงห์ เมืองมั่น จาก รพ.รามาธิบดี ก็ได้ยังได้ทำการวิจัยเกี่ยวกับหญ้าหวานว่าควรกินปริมาณเท่าใดจึงจะปลอดภัย คือ ประมาณ 1-2 ใบต่อเครื่องดื่ม 1 ถ้วยหรือสูงสุดกินได้ถึง 7.9 กรัม/วัน ซึ่งสูงมากเปรียบได้กับกินผสมกาแฟหรือเครื่องดื่มได้ถึง 73 ถ้วย/วัน ซึ่งเป็นไปไม่ได้สำหรับคนส่วนใหญ่ที่ดื่มกาแฟประมาณวันละ 2-3 ถ้วย เท่านั้น

เห็นไหมล่ะคะว่าหญ้าหวานมีประโยชน์และสรรพคุณที่น่าอัศจรรย์มากเพียงใด ใครที่กำลังหนักใจเพราะตัวเองชอบรสหวานแต่ก็กลัวอ้วนล่ะก็ ลองหาหญ้าหวานมาใส่แทนน้ำตาลดูนะ รับรองว่าได้ผลดีแน่นอนจ้า

8 บทเรียนพลิกชีวิต วอร์เรน บัฟเฟตต์ จากยาจกสู่มหาเศรษฐี

ในอดีตใครจะไปรู้ว่าจากเด็กอายุแค่ 6 ขวบ เดินขายหมากฝรั่ง จะเติบโตกลายมาเป็นมหาเศรษฐีชื่อดังระดับโลก กลายเป็นราชาแห่งตลาดหุ้นได้ เขาผู้นั้นคือ วอร์เรน บัฟเฟตต์ นักลงทุนในหุ้นระยะยาว ซึ่งเป็นการลงทุนที่ใช้เวลาตั้งแต่ 1 - 10 ปี เงินถึงจะงอกเงย และที่สำคัญบริษัทที่เขาซื้อหุ้นไม่มีใครคิดว่าจะมีโอกาสเติบโต แต่หลายปีต่อมากลับทำกำไรให้มากกว่าเดิมถึง 10 เท่า ทำให้เขาได้รับฉายาว่า “วอร์เรน บัฟเฟตต์คือผู้หยั่งรู้ตัวจริง”

กว่าจะมาถึงจุดนี้เขาต้องฝ่าฟันอุปสรรคมากมาย และซึ่งสิ่งที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จได้ทุกวันนี้คือ 8 บทเรียน ที่เขาใช้ในการดำเนินชีวิต



1.ทุกความสำเร็จต้องใช้เวลา

ทุกความสำเร็จไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นได้ในวันเดียว วอร์เรน บัฟเฟตต์จึงมองไกลเสมอและตระหนักดีว่าทุกอย่างต้องใช้เวลา “ผมไม่ค่อยซื้อหุ้นตัวในกระแสที่มาเร็ว ไปเร็วหรอกนะแต่ผมซื้อหุ้นที่อาจไม่เปิดขายอีกเลยจนกว่าจะถึงห้าปีถัดไป” และสิ่งที่วอร์เรน บัฟเฟตต์ทำก็คือเขาศรัทธาในทุกการตัดสินใจ และเมื่อเขาอดทนรอและหมั่นเติมเต็มความรู้ เขาก็ทำสำเร็จซะแทบทุกครั้งเสมอ

2.รู้ให้ลึกก่อนลุยและเลือกลงทุนกับบริษัทที่มีศักยภาพ
วอร์เรน บัฟเฟตต์จะนำเงินไปสนับสนุนธุรกิจที่มีศักยภาพเท่านั้นเสมอ เขาหาข้อมูลทุกครั้งก่อนลงสนามจริงไม่ใช่ว่าเขารวยแล้วก็ใช้เงินซื้อหุ้นแต่ ละตัวมามั่วๆแต่ทุกครั้งที่จะทำอะไร วอร์เรน บัฟเฟตต์ได้คิดอย่างถี่ถ้วนเสมอและศึกษาเป็นอย่างดี

3.เมื่อคนอื่นปอดแหก นี่ล่ะจังหวะทองของเรา
ทุกคนคงเคยได้ยินสำนวนที่ว่า “โอกาสทางธุรกิจมีอยู่ทุกที่” แต่ไม่ใช่ทุกคนที่ไข่วคว้าได้เพราะพวกเค้า “กลัวจะคว้าน้ำเหลว” แต่วอร์เรน บัฟเฟต์คือจอมแหวกแนวเพราะเมื่อคนอื่นเริ่มถอยห่างจากการลงทุน เศรษฐกิจดูน่ากลัว อาเฮียกลับเข้าไปกว้านซื้อหุ้นในตลาดอย่างกล้าหาญและเน้นซื้อเฉพาะบริษัท เจ๋งๆ จากนั้นกำไรก็เข้ามาหาเขา หลังจากวิกฤติผ่านพ้นไป…แหม่เรียกได้ว่ารู้จักพลิกวิกฤติ ให้เป็นโอกาสจริงๆ

4.ลงมือทำตั้งแต่วันนี้
วอร์เรน บัฟเฟต์เปรียบเปรยไว้ได้น่าสนใจ เขาถามว่ารู้มั้ยว่าร่มเงาของต้นไม้ที่คอยบังแดดให้คุณมาจากไหน…ก็มาจากคน ที่ปลูกไว้เมื่อหลายสิบปีก่อนน่ะสิ และนี่ถือเป็นหลักคิดที่ลึกซึ้งที่ต้องการจะบอกว่า ถ้าคิดจะทำอะไร ก็จงทำตั้งแต่วันนี้ เพราะแม้ว่ามันจะยังไม่เห็นผลทันทีและทำให้เราท้อใจ แต่ถ้าคุณไม่ล้มเลิกไปก่อนผลลัพธ์มันย่อมออกมา เช่นเดียวกับต้นไม้ที่แผ่ร่มเงา

5.ทำในสิ่งที่รู้
แม้การลองอะไรแปลกใหม่จะไม่ผิด และทำให้เราได้เปิดโลก แต่วอร์เรน บัฟเฟต์เผยว่าเขามักจะลงทุนในสิ่งที่ศึกษามาเป็นอย่างดีเท่านั้น หรือสิ่งที่คุ้นเคยเพราะอะไรที่เรามีความเข้าใจ เรามักจะทำออกมาได้ดีเสมอ นอกจากนี้เขายังบอกอีกว่า ทุกคนไม่ต้องตามกระแสกันก็ได้ ไม่ใช่ว่าอะไรฮิตก็แห่ไปทำ แต่คุณต้องรู้จักมีแนวทางของตัวเอง แล้วคุณจะโดดเด่นเหนือใคร แถมยังมีความสุขด้วยเพราะคุณมีวิธีฝ่าฟันในแบบฉบับที่เป็นของตัวเอง

6.จงตั้งเป้าว่า “ข้าจะเทพให้ได้”
นักธุรกิจชื่อก้องโลกเล่าว่า ทุกคนควรตั้งเป้าหมายไว้และพยายามพิชิตมันให้ได้ จากนั้นก็ทำให้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิมเรื่อยๆ เพราะนั่นจะทำให้คุณแกร่งขึ้นมั่นใจขึ้น และถ้าจะให้ดีพยายามพาตัวเองไปอยู่กับคนที่เก่งกาจกว่า เพราะแม้นั่นจะทำให้เราดูโง่เง่าไปบ้าง (เพราะตามคนอื่นไม่ทัน) แต่เราก็จะได้เรียนรู้สิ่งดีๆจากคนเหล่านี้เสมอ แล้ววันหนึ่งคุณอาจจะเทียบเท่า หรือแซงคนเก่งๆพวกนี้ได้

7.อย่าอู้ ต้องมีวินัย
บางทีเมื่อคนเราเริ่มเก่งขึ้นหรือมีเรื่องอื่นๆมารบกวน มันก็มักทำให้เราขาดวินัยได้ เช่น ตอนซื้อหุ้นเริ่มวิเคราะห์ข้อมูลไม่ละเอียดเหมือนเคย หรือทำอะไรไม่รอบคอบเท่าแต่ก่อนเพราะขี้เกียจ แต่นั่นล่ะคือสิ่งที่อาจนำหายนะมาได้ในภายหลัง ฉะนั้นไม่ว่าจะทำอะไรในชีวิตควรมีวินัยและสม่ำเสมอ ซึ่งนั่นจะทำให้เราเฉียบแหลมอยู่ตลอดเวลา

8.ใจรัก
เมื่อคุณไม่มีใจรักในสิ่งที่ทำ สุดท้ายสิ่งนั้นก็จะหายไปเพราะเราไม่มีแก่ใจจะไปฝ่าฟัน ฉะนั้นแทบทุกเรื่องไม่ว่าจะลงทุนในหุ้น หรือการตามล่าความฝันในรูปแบบอื่นของชีวิต หากเรามีใจรัก เราก็มักจะพร้อมทุ่มเทให้มันแบบสุดชีวิตเสมอ และรางวัลของคนที่ทุ่มเทจนถึงที่สุดก็คือ “ความสำเร็จของชีวิต”

Thursday, September 4, 2014

เรามองโลกในแง่ดีพอแล้วหรือยัง?

ที่สนามบินนานาชาติระดับโลก มีนักธุรกิจหญิงแต่งตัวดีคนหนึ่งจำเป็นต้องรอเวลาถึง 3ชั่วโมง ในการเปลี่ยนเครื่องบินเพื่อไปจุดหมายปลายทาง เธอจึงตัดสินใจเดินไปซื้อหนังสือ 1 เล่มและคุ๊กกี้ 1 ห่อ และเตรียมหาที่นั่งเพื่ออ่านและกินฆ่าเวลาไปพลาง ๆ
เธอสอดส่ายมองหาที่นั่งได้ 1 แห่ง เธอสังเกตเห็นว่าข้างๆเธอมีชายหนุ่มซึ่งนั่งเหยียดกายอย่างไม่สนใจใคร ว่าจะมีใครนั่งอยู่ข้าง ๆ เขา
สักครู่หนึ่ง ขณะที่เธออ่านหนังสือ ชายหนุ่มก็หยิบขนมคุ๊กกี้ออกจากถุงซึ่งวางอยู่ระหว่างคนทั้งสอง แล้วกินมันอย่างละชิ้น เธอมองด้วยความโกรธ แต่ไม่ต้องการทำเรื่องวุ่นวาย เธอจึงทำเป็นไม่สนใจ
เธอเริ่มรู้สึกเบื่อที่จะกินคุ๊กกี้และเฝ้ามองนาฬิกา ในขณะที่ชายหนุ่มซึ่งเป็นผู้ขโมยไร้ยางอายกำลังกินมันให้หมดสิ้นไป เธอเริ่มโมโหและคิดในใจว่า \"ถ้าฉันไม่ใช่ผู้ดีมีการศึกษาแล้วละก็..ฉันจะชกหน้าเจ้าหมอนี้ให้แหลกไปเลย \"
ทุกครั้งที่เธอหยิบกิน 1 ชิ้น ชายหนุ่มก็หยิบมันกิน 1 ชิ้น
ทั้งสองส่งสายตามองกัน เมื่อคุ๊กกี้เหลือเพียงชิ้นสุดท้าย เธอหยุดและอยากรู้ว่าชายหนุ่มจะทำอย่างไร
ชายหนุ่มค่อย ๆ หยิบคุ๊กกี้ชิ้นสุดท้ายแล้วหักออกเป็น 2 ชิ้น ส่งให้เธอครึ่งชิ้นและกินเองครึ่งชิ้น
เธอรับจากชายหนุ่มอย่างรวดเร็วและคิดในใจว่า
\"เขาช่างเป็นคนไร้มารยาทสุดๆช่างไร้การศึกษา ไม่มีแม้แต่พูดขอบคุณสักคำ\"
เธอลุกขึ้นหยิบข้าวของทั้งหมดแล้วตรงไปยังประตูขึ้นเครื่อง ไม่แม้แต่เหลียวหลังกลับมามองหัวขโมยผู้ไร้มารยาทซึ่งยังนั่งอยู่ที่เดิม
ภายหลังจากขึ้นเครื่องและนั่งประจำที่อย่างสบายแล้ว เธอก็หยิบหนังสือที่อ่านค้างอยู่ขึ้นมาอีกครั้ง ในขณะที่หยิบหนังสือจากกระเป๋า ก็พบว่ามีขนมคุ๊กกี้ 1 ห่อ
เธอตกใจมาก
ถ้าคุ๊กกี้ของฉันยังอยู่ที่นี่ ก็แปลว่า.....
คุ๊กกี้ห่อนั้นเป็นของชายหนุ่มที่แบ่งให้เธอกิน!!
เธอลุกขึ้นทันที แล้ววิ่งออกจากเครื่องบินไปยังที่นั่งของชายหนุ่ม แต่คงเหลือแต่ที่นั่งว่างเปล่า
มันสายไปเสียแล้วที่จะได้ขอโทษชายหนุ่ม
ระหว่างเดินกลับเข้าเครื่อง เธอรู้สึกเจ็บปวดหัวใจ เธอนั่นเองที่ไร้มารยาท เป็นหัวขโมยที่ไร้การศึกษาตัวจริง
มีกี่ครั้งในชีวิตของคนเรา ที่ค้นพบในภายหลังว่า สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นมันไม่ใช่เรื่องจริงมันเป็นการเข้าใจผิด
มีกี่ครั้งในชีวิตที่เราขาดความไว้วางใจผู้อื่น และทำให้เราตัดสินผู้อื่นจากความคิดเย่อหยิ่งของเราเอง ซึ่งห่างไกลจากความเป็นจริงมากมาย
นี่แหละที่ทำให้เราต้องคิดซ้ำแล้วซ้ำอีกก่อนตัดสินผู้อื่นหลาย ๆสิ่งไม่ได้เป็นอย่างที่เห็น ควรมองผู้อื่นในแง่ดี แล้วคอยสังสัยตัวเองว่า
\"เรามองโลกในแง่ดีพอแล้วหรือยัง?\"
\"เราเคยแบ่งปันอะไรแก่คนอื่นบ้างหรือไม่\"

มึงป่วย..เพราะมึงโง่!!!!!!!!

มึงป่วย..เพราะมึงโง่!!!!!!!!
....เจอเภสัชกรคนหนึ่ง...หน้าตากวนตีนมาก...
อายุน้อยกว่าผม...แต่กวนตีนมากกว่าผม...
ซื้อยาแก้กรดไหลย้อนครับ...
เอาเกรดไหน...มี 3 เกรด...ถูก...กลาง...แพง...
คุณภาพยา...ขึ้นกับราคา...ว่าไง...?
มันถามแล้วมองหน้าผมแบบกวนตีน...

ผมกวนตีนกลับ...เอาเกรดไหนก็ได้...ที่กินแล้วหายน่ะ...
ไม่มี...โรคนี้....ยาไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้...
ถ้าคุณรักษาด้วยยา...คุณจะต้องกินยาไปตลอดชีวิต...
ผมหันไปจ้องหน้ามัน...เพราะสะดุดคำว่า...
ถ้าคุณรักษาด้วยยา...คุณจะต้องกินยาไปตลอดชีวิต...
ผมถามว่า...มันมีวิธีรักษาด้วยวิธีอื่นหรือ...?
มันค่อยๆชายตามามองผมด้วยสายตาดูถูก...อย่างรุนแรง...
แล้วพูดโดยไม่มองหน้าคนฟังว่า...
คนที่เป็นโรคกรดไหลย้อน...เกิดจากนิสัยชั่ว 5 อย่าง...
1. กินข้าวไม่ตรงเวลา...
2. กินอาหารรสจัดมาก...โดยเฉพาะเผ็ดจัด...
3. กินมากเกินไป...
4. กินแล้ว...เข้านอนทันที...
5. เครียดตลอดเวลา...
ถ้าอยากหาย...ไปเปลี่ยนนิสัย...ไม่ต้องกินยา...
ผมกัดฟันแน่น...จ้องหน้ามัน...ทำไมมึงถึงกวนตีนยังงี้วะ...?
ผมคิดในใจ... แล้วค่อยๆเปิดประตู...เดินออกจากร้านไป...
10 วัน...ผ่านไป...ผมไปบรรยายหลายงาน...หลายจังหวัด...
คืนหนึ่งกลับเข้าบ้าน...ดึกแล้ว...
ผ่านร้านขายยา...ไฟยังไม่ปิด...ผมรีบจอดรถ...เดินเข้าไปในร้าน...
เจอไอ้เภสัชกวนตีน...คนเดิมเต็มๆ...มันหันมาเห็นผม...
อ้าว...เป็นไง...โรคกรดไหลย้อน...?
ผมปรี่เข้าประชิดตัว...แล้วยกมือ...พนม...พร้อมก้มหัว...
ขอบพระคุณมากครับ...หายแล้วครับ...
พูดได้แค่นั้น...แล้วก็จุกที่คอ...พูดอะไรต่อไม่ได้อีก...
แล้วรีบเดินออกจากร้าน...
เป็นครั้งแรกในชีวิต...ที่ผมยกมือไหว้คนขายยา...ที่อายุน้อยกว่าผมมาก...
ผมพูดอะไรไม่ออก...แต่ผมเชื่อว่า...ไอ้เภสัชหนุ่มนี่มันรู้...ว่าผมจะพูดอะไร...?
มันสามารถสูบเงินจากผมได้เป็นหมื่น...และทำกำไรมหาศาล...แต่มันไม่ทำ...
มันเลือกที่จะช่วยผม...ให้หายป่วย...โดยไม่ได้เงินสักบาท...
การดำเนินชีวิตของผมตอนนี้...
- กินข้าวตรงเวลา...ทุกมื้อ...
- กินอาหารจืด...ไม่กินรสจัด...เผ็ดจัด...
- กินแค่จานเดียว...เลิก...ไม่ว่าจะอร่อยแค่ไหนก็ตาม...
- มื้อสุดท้าย...กินก่อน 6 โมงเย็น...แล้วไม่กินอะไรอีกเลย...
ไม่ว่าจะนอนดึกแค่ไหนก็ตาม...
- อารมณ์ดีตลอด...ยิ้ม...หัวเราะ...ทำตัวให้มีความสุขทั้งวัน...
ผลที่เกิดตามมาคือ...
- พุงผมหายไป...ไม่มีหน้าท้อง...ไม่อึดอัด...
- สุขภาพดีขึ้น...ไม่เป็นโรคอ้วน...
- บุคลิกภาพดีขึ้น...ความมั่นใจเพิ่มขึ้น...เวลาเข้าสังคม...
- หายใจสะดวก...ไม่แน่นท้องเหมือนก่อน...
- ไม่ง่วงนอน...ไม่อ่อนเพลียเวลาทำงาน...เหมือนก่อน...
- การทำงานและการเคลื่อนไหวร่างกาย...คล่องตัวขึ้น...
ที่สำคัญคือ...
ชีวิตผม...มีความสุขขึ้น...เยอะเลย...
นี่แหละคือเหตุผลที่ผมต้องไหว้...
และผมจะไหว้ไอ้เวรนี่ตลอดชีวิต...ไม่ว่ากูจะเจอมึงที่ไหน...
สิ่งมีค่าที่สุดที่มันมอบให้ผมก็คือ...
โรคภัยไข้เจ็บ...90 %...ของมึงเนี่ย...ไม่ได้เกิดจากเชื้อโรค...
แต่เกิดจากเชื้อเลว...ในการดำเนินชีวิตของมึงทั้งนั้น...
ดำเนินชีวิตให้ถูกต้อง...ตามธรรมชาติ...มีสุขนิสัยที่ดี...
คุณจะไม่ป่วย...ไม่เป็นโรค...ไม่ต้องไปหาหมอ...
หมอและยา...เขามีไว้รักษาและขาย...ให้คนที่โง่...เท่านั้น...
เลิกโง่กันเถอะเพื่อน...
เพื่อนรุ่นน้องของผมหายไปนานมาก...เกือบปี...
ผมคิดถึง...อยากรู้ข่าวคราว...จึงโทรไปหา...นัดกินข้าว...
เพื่อนเล่าให้ฟังว่า...หลังจากรักษาจนหายแล้ว...
เจ้านายเก่ารู้ว่า...กลับมาจากต่างประเทศแล้ว...หายแล้ว...
ก็ชวนกลับไปทำงานที่เดิม...เงินเดือน 6 หลัก...มันยากที่จะปฏิเสธ...
ทำอยู่ได้ 6-7 เดือน...อาการกลับมาเป็นเหมือนเดิมอีก...
และเที่ยวนี้...ดูว่ามันรุนแรงกว่าเดิมมาก...
หลังจากวันนั้น...ผมก็ไม่ได้ข่าวคราวจากเพื่อนคนนี้อีกเลย...
ส่วนผม...ทำตัวตามที่ไอ้หมอตี๋กวนตีนนั่นบอก...
เปลี่ยนเอานิสัยเลวๆในการดำเนินชีวิตออก...
โรคกรดไหลย้อน...ไม่มีอาการ...โรคซึมเศร้าดีขึ้น...จนเริ่มเขียนหนังสือได้...
โรคเครียดเบาบางลงมาก...ยิ้ม...หัวเราะ...มีความสุขกับการทำงานเกือบทั้งวัน...
คุณภาพชีวิตที่ดีๆของผม...กลับคืนมาแล้ว...เยอะมากด้วย...
จึงอยากจะถือโอกาสนี้...บอกกับเพื่อนๆทุกคนว่า...
เลิกโง่กันเถอะเพื่อน...
ฉันฉันน์ ลวางกูรพสิษฐ์...
(สมคิด ลวางกูร)
ขอบคุณข้อมูลจาก เพจ Boon48

Monday, September 1, 2014

เศรษฐสาตร์ กับ ความรัก

ปี 2010 รางวัลโนเบลทางเศรษฐศาสตร์ถูกมอบให้กับ DMP Model เกี่ยวกับการค้นหาคู่ที่เหมาะสมระหว่างแรงงานกับนายจ้าง ซึ่งต้องอาศัยทั้งความพยายามและเวลา หากนำเอาแนวคิดนี้มาประยุกต์กับการหาแฟน ลองมาดูกันว่า เราจะเรียนรู้อะไรได้บ้าง
รางวัลโนเบลทางด้านเศรษฐศาสตร์ปี 2010 ถูกมอบให้แก่ Peter Diamond, Dale Mortensen และ Christopher Pissarides (DMP) ในแบบจำลอง “การค้นหาและการจับคู่” (Search and Matching Model) แบบจำลองที่ว่านี้เน้นไปที่ตลาดแรงงาน (Labor Market) โดยทั้งแรงงานและนายจ้างต่างก็ต้องค้นหาซึ่งกันและกัน เพื่อให้ได้คู่ที่เหมาะสมที่สุด แรงงานต้องการนายจ้างที่มีงานในแบบที่ตนเองต้องการ ขณะที่นายจ้างเองก็ต้องการแรงงานที่มีทักษะเหมาะสมกับงานที่ตนเองมีอยู่
แต่เนื่องจากการมีข้อมูลข่าวสารที่ไม่สมบูรณ์ของทั้งแรงงานและนายจ้าง (imperfect information about trading partners) อุปสงค์และอุปทานของแรงงานที่หลากหลาย (heterogeneous demand and supply) การติดสัญญาต่างๆ หรือกระบวนการต่างๆ ที่ล่าช้า (slow mobility) การไม่ให้ความร่วมมือแก่กันและกันเพื่อการค้นหาที่ดีกว่าอย่างเต็มที่ (coordination failures) และปัจจัยอื่นๆ จึงส่งผลให้การค้นหาซึ่งกันและกันมีต้นทุน จนบางครั้งต่างฝ่ายต่างก็ไม่อาจรอจนเจอคู่ที่เหมาะสมที่สุดได้
ความไม่ลงรอยกัน (friction) ของการการค้นหาและการจับคู่ (search and match) มีบทบาทสำคัญมากในตลาดแรงงาน และก็ไม่ใช่ว่าอธิบายได้เฉพาะตลาดแรงงานเท่านั้น แต่ยังสามารถอธิบายตลาดขายบ้าน เสื้อผ้า สินค้ามือสอง สินค้าเน้นดีไซน์ รวมไปถึงการหาแฟนได้อีกด้วย ซึ่งตัว Diamond, Mortensen และ Pissarides เองก็ได้เอ่ยถึงประเด็นที่เกี่ยวกับเรื่องนี้เอาไว้ด้วยเช่นกัน

“หาคนที่เหมาะสมสักคนคงยากเพราะมีคนมากมายบนโลกใบนี้” (ที่มาของภาพ)


ขออธิบายถึง DMP Model ในตลาดแรงงานที่เกี่ยวข้องกับการค้นหาและจับคู่ของแรงงานและนายจ้าง ไปพร้อมๆ กับการหาแฟนซึ่งเป็นการค้นหาและจับคู่ของผู้หญิงและผู้ชาย ซึ่งหากรำมาประยุกต์ใช้ก็น่าจะมีประเด็น ดังต่อไปนี้

๑. การตามหาคนที่เหมาะกับเราต้องอาศัยเวลา…เสมอ (Finding Mr./Mrs. Right takes time. Always.) ไม่ต่างไปจากการค้นหาและจับคู่กันของแรงงานและนายจ้างที่เหมาะสม ซึ่งเราต้องใช้ทั้งเวลา ความพยายาม และบางทีอาจจะต้องใช้เงินด้วย ดังนั้น การตามหาคนที่เหมาะสม โดยเพียงแค่นั่งรอคอยนั้นจึงไม่เพียงพอ เนื่องจากการจะเจอคู่ที่เหมาะสมตามมีตามเกิดนั้นมีโอกาสเป็นไปได้น้อยมาก

๒. ความล้มเหลวเกิดขึ้นได้ (Shit happens.) และทำให้ความสัมพันธ์ก็จะสิ้นสุดลง ซึ่งบางครั้งก็เกิดจากปัจจัยภายนอก เช่น นายจ้างอาจประสบปัญหาในการบริหารจัดการ หรือแรงงานอาจประสบปัญหาสุขภาพ จึงทำให้ความสัมพันธ์ที่เคยมีประสิทธิภาพในครั้งหนึ่งก็จะไม่มีประสิทธิภาพ อีกต่อไป ไม่ต่างจากชีวิตคู่ที่อาจประสบปัญหาเมื่อเวลาผ่านไป และก็ไม่ได้มาจากตัวคนสองคนด้วย ความสัมพันธ์ที่เคยมีประสิทธิภาพจึงอาจไม่มีประสิทธิภาพอีกแล้ว ผลก็คือ ต่างฝ่ายต่างก็เริ่มต้นกระบวนการค้นหาใหม่ เพื่อให้ได้คู่ที่เหมาะสมต่อไป ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ

๓. เมื่อไรก็ตามที่โลกนี้มีคนที่เหมาะสมกับเรารออยู่ ความเป็นโสดก็จะดำรงอยู่เสมอ (In a world where there is a match for everyone, there will still be singlehood.) เมื่อการตามหางานที่เหมาะสมต้องอาศัยเวลา นั่นจึงเป็นเหตุผลที่การว่างงานของคนในสังคมจะมีให้เห็นอยู่ตลอดเวลา เช่นเดียวกันกับการตามหาคนที่เหมาะสมนั้นก็ต้องใช้เวลา และความล้มเหลวก็สามารถเกิดขึ้นได้เสมอ ซึ่งการตามหาคนใหม่ที่เหมาะสมก็ต้องใช้เวลาอีก ในสังคมจึงต้องมีคนโสดดำรงอยู่ ทั้งนี้ก็เพราะคนเหล่านั้นกำลังรอคนที่เหมาะสมนั่นเอง

๔. สำหรับคู่ที่กำลังเริ่มต้น การอยู่กับคนๆ นี้ต้องดีกว่าการอยู่เป็นโสด แต่การจะคบกันได้ตลอดรอดฝั่งนั้น การอยู่กับคนๆ นี้ต้องดีกว่าการอยู่กับคนอื่น (For a couple to form, both must be better off than when single. And for a couple to remain, both must be better off than with the next best alternative.) กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ คู่ที่ดีต้องเสริมกันและกัน (generate surplus) เช่น ต่างฝ่ายต่างมีความสุข และจะต้องมีความสุขมากกว่าค่าคาดหวังของการตามหาคนใหม่ด้วย ไม่ต่างไปจากความสัมพันธ์ระหว่างแรงงานกับนายจ้างที่ต้องได้ประโยชน์ร่วมกัน และต้องดีกว่าที่จะได้รับจากแรงงานหรือนายจ้างคนอื่นด้วย มิฉะนั้นการเปลี่ยนงานก็อาจเกิดขึ้นได้

๕. บางครั้งเราตกลงเป็นแฟนกับคนบางคน เพราะเหนื่อยที่ต้องรอคอย อย่าเชียว! (Sometimes, people settle because they are tired of waiting. Don’t!) เพราะมันจะกลายเป็นการจับคู่ที่ไม่ยั่งยืน (unstable match) และเท่ากับว่าเราทำลายโอกาสที่ดีกว่าที่กำลังจะมาถึง ไม่ต่างไปจากการตัดสินใจเซ็นต์สัญญาทำงานอะไรก็ได้ทั้งที่เราไม่ได้ชอบ แค่เพราะไม่อยากรอคอย ซึ่งงานใหม่ที่ดีกว่าจำนวนมากก็จะหายไปทันที

๖. ความพยายามในการค้นหาจะให้ผลดีกว่าถ้าเรามีตัวเลือกมากๆ (The search effort pays off more if there are many competing partners.) ประเด็นนี้เป็นจริงสำหรับชายหรือหญิงก็ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอัตราส่วนระหว่างเพศชายและหญิง (sex ratio) ของแต่ละสังคม ถ้าเพศใดมีจำนวนน้อยกว่า เพศนั้นก็มีแนวโน้มที่จะมีอำนาจเหนือกว่า นี่เป็นเหตุผลเดียวกับที่(โดยรวมแล้ว)นายจ้างมีอำนาจต่อรองในการจับคู่ มากกว่าแรงงาน ก็เพราะนายจ้างมีจำนวนน้อยกว่าแรงงานนั่นเอง

๗. บริษัทจัดหาคู่(หรือพ่อสื่อแม่สื่อ)จะทำให้เราเจอคนที่เหมาะกับเราเร็วขึ้น และลดช่วงเวลาของการเป็นโสดลง (Dating agencies bring people together more quickly and reduce the incidence of singlehood.) เช่นเดียวกับบริษัทจัดหางาน แต่เงื่อนไขก็คือบริษัทเหล่านี้ต้องอยู่ในตลาดแข่งขันด้วย มิฉะนั้นแล้วบริษัทเหล่านี้ก็จะไม่แสวงหาคู่หรืองานที่ดีพอมาให้เรา

๘. แฟนกันที่เข้ากันได้ดีจะนำไปสู่การแต่งงาน (The couples that form are best for the partners that make the proposal.) และความที่ผู้ชายเป็นคนเสนอขอแต่งงาน คล้ายกับนายจ้างที่เสมือนเป็นผู้เสนอสัญญาจ้างงาน ผู้ชายหรือนายจ้างจึงดูเหมือนว่ามีบทบาทมากกว่าในการสร้างความสัมพันธ์กับ ตัวผู้หญิงหรือแรงงาน ในโลกยุคใหม่ที่การคุ้มครองสิทธิแรงงานมีประสิทธิภาพ และสิทธิหญิงและชายเท่าเทียมกันนั้น ผู้หญิงก็ควรจะเป็นคนเอ่ยปากขอผู้ชายแต่งงานเพื่อรักษาดุลอำนาจของสิทธิเอา ไว้ได้อย่างชอบธรรมเช่นกัน อย่าไปกลัว

๙. ผู้หญิงจะได้ประโยชน์จากการแต่งงานมากกว่าผู้ชาย ถ้าเขาเรียนรู้ที่จะรอ (Women have a better outcome in marriage if they find a way to sweeten their wait.) สมมติว่าผู้ชายเป็นคนขอแต่งงานและผู้หญิงเป็นฝ่ายตอบสนอง บทบาทของผู้หญิงจึงไม่ต่างไปจากแรงงานในตลาดแรงงาน แต่แรงงานที่กำลังหางานที่เหมาะสมอยู่นั้น มีโอกาสที่ได้รับผลประโยชน์ในช่วงเวลาที่ว่างงาน (unemployment benefits) ซึ่งไม่สามารถหาได้ในช่วงเวลาที่มีงานทำแล้ว ในเชิงของการมีแฟน ผู้หญิงก็สามารถแสวงหาความสุขบางอย่างได้ในช่วงโสด ซึ่งทำไม่ได้ในเวลาที่มีแฟนแล้ว เช่น เมาท์กับเพื่อนบ่อยๆ ไปปาร์ตี้ทุกวัน ออกเที่ยวไม่กลับบ้าน เป็นต้น ซึ่งความสุขของคนโสดเหล่านี้จะช่วยยืดระยะเวลาการรอคอยออกไป ซึ่งเขาก็จะมีโอกาสได้เจอคู่ที่เหมาะสมมากขึ้น

๑๐. พวกเขาจะมีผลได้ที่ดีขึ้น ถ้าพวกเขาตกลงและบังคับใช้ข้อตกลงร่วมกันว่าอะไรคือสิ่งที่พวกเขาต้องการ (They also have a better outcome if they agree and enforce collectively what they expect.) นั่นคือ การทำตามข้อตกลงที่ได้เจรจาไว้ตั้งแต่ต้น จะช่วยให้แรงงานและนายจ้างอยู่กันไปได้นาน เช่นเดียวกันกับคู่หญิงชายที่มีการทำข้อตกลงสำหรับการใช้ชีวิตร่วมกันเอาไว้ ก่อนเช่นกัน
นัยทางนโยบายที่สำคัญมากของ DMP Model ยังมีอีกสองประการ หนึ่งคือ แบบจำลองยังช่วยอธิบายด้วยว่า ทำไมเมื่อเวลาที่เศรษฐกิจดี อัตราการมีงานทำจะค่อยๆ เพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ เนื่องจากทั้งแรงงานกับนายจ้างต้องใช้เวลาค้นหาซึ่งกันและกัน แต่เมื่อเศรษฐกิจเกิดวิกฤต นั่นคือมีปัจจัยภายนอกมากระทบ อัตราการมีงานทำกลับลดลงอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ก็เพราะผลิตภาพที่เคยมีในช่วงที่ผ่านมาอาจไม่เหมาะต่อกันอีกแล้ว (เช่น ค่าจ้างสูงไป จำนวนแรงงานในสายการผลิตมากเกินไป) นั่นคือ ในตลาดแรงงานมีความอสมมาตร (asymmetric) ของการเพิ่มขึ้นหรือลดลงของการมีงานทำ (ในอีกด้านหนึ่ง การว่างงาน) ดำรงอยู่ ดังนั้น การค้นหาใครสักคนจนเจอ จึงต้องใช้เวลา แต่บางครั้ง คนอื่น ปัจจัยอื่น หรือสิ่งอื่นๆ กลับสามารถเข้ามากระทบจนทำให้ความรักระหว่างคนสองคนล่มลงอย่างรวดเร็วได้

สองคือ ในตลาดแรงงานนั้น ค่าจ้างดุลยภาพในงานประเภทเดียวกันไม่ได้มีค่าเดียว แต่จะมีเป็นช่วง เช่น เงินเดือนวิศวกรไม่ได้อยู่ที่สี่หมื่นบาท แต่จะอยู่ที่สามถึงห้าหมื่นบาท เป็นต้น สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะแต่ละคนมีความอดทนหรือพยายามค้นหางานที่เหมาะสม ไม่เท่ากัน คนจำนวนหนึ่งจึงยอมรับงานที่ตนเองไม่ได้ชอบ เพราะไม่อยากต้องรอคอย ค่าจ้างจึงมีหลากหลายแล้วแต่ความอดทนของแต่ละคน ดังนั้น การมีแฟนของคนจำนวนมากจึงไม่มีความสุข หรืออาจมีความสุขไม่มากนัก ส่วนหนึ่งอาจจะมาจากเหตุผลมากมาย แต่อีกส่วนหนึ่งก็เพราะคนจำนวนหนึ่งนั้นมีแฟนเพียงเพราะไม่อยากเป็นโสด หรือคบกันเพียงเพราะไม่อยากรอคอย เท่านั้น

โดยสรุปก็คือ การค้นหาใครสักคนจนเจอ ต้องใช้ความอดทนและเวลา หากยังไม่เจอ แนวคิดของนักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบลเสนอแนะให้อดทนรอ ซึ่งอาจใช้ช่วงเวลาที่รอนี้หาความสุขตามประสาคนโสดไป แต่สำหรับคนที่เจอแล้ว แนวคิดนี้ก็ให้ระวังการมีคนอื่นหรือปัจจัยอื่นเข้ามากระทบ ซึ่งอาจสั่นคลอนความรักระหว่างคนสองคนได้ โดยอย่าลืมว่ามันเป็นเรื่องของคนสองคน อย่างน้อยเศรษฐศาสตร์ก็คงช่วยให้เราเห็นในอีกหลายมุม