Friday, May 21, 2010

ภรรยาหาย

ชายคนหนึ่งขึ้นโรงพักไปแจ้งความเรื่องภรรยาหาย q*009

สารวัตร : ภรรยาคุณสูงเท่าไหร่?

เจ้าทุกข์ : ผมไม่เคยสังเกตครับ q*031

สารวัตร : ผอมหรืออ้วน?

เจ้าทุกข์ : ก้อไม่เชิงผอมหรืออ้วน q*027

สารวัตร : ตาสีอะไร?

เจ้าทุกข์ : ไม่ได้สังเกตอีกล่ะครับ q*001

สารวัตร : ผมล่ะ สีอะไร?

เจ้าทุกข์ : เธอเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ตามแฟชั่น q*022

สารวัตร : ตอนหายไปจากบ้าน ภรรยาุคุณแต่งกายยังงัย?

เจ้าทุกข์ : นุ่งกางเกงหรือแต่งเป็นชุด ผมจำไม่ค่อยได้ครับ q*032

สารวัตร : มีใครไปกับเธอหรือเปล่า?

เจ้าทุกข์ : มีครับ เป็นหมาพันธ์ุลาบราดอร์ชื่อ "ชาบู" ใส่ปลอกคอล่ามโซ่สีทอง สูงประมาณ 30 นิ้ว ตาสีฟ้า ขนสีน้ำตาล
เล็บนิ้วโป้ง ขาหน้าซ้ายบิ่นนิดหน่อย ไม่เคยเห่า ปลอกคอมีกระดิ่งสีฟ้าแขวนโดยรอบ มันไม่ชอบกินผัก เรากินอาหารด้วยกัน
วิ่งออกกำลังกายทุกวัน...(แล้วเขาก็เริ่มร้องไห้) q*005

สารวัตร : ได้การล่ะ
พวกเราตามหาหมาให้เจอก่อนนะ!.

Thursday, May 20, 2010

สำหรับคนที่เริ่มจะแก่ แล้วเห็นเพื่อนรุ่น เดียวกันแก่กว่าตน‏

เวลามองคนที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับคุณ.. คุณเคยรู้สึกไหมว่า
"
ตานี่ดูแก่จัง.. ตัวฉันเองยังดูหนุ่มกว่ามันตั้งเยอะเลยว่ะ"
ถ้าคุณเคยนึกอย่างนั้น.. ลองอ่านเรื่องนี้ดู (อาจจะโดนกับตัวคุณเองเข้าสักวันนะ)

ผม มีนัดครั้งแรกกับหมอฟันคนใหม่.. ระหว่างที่นั่งรอ ผมมองข้างฝา มีใบประกาศนียบัตรติดอยู่ พอเห็นชื่อก็จำได้.. ยังจำได้ถึงภาพหนุ่มหล่อ สูงสง่า ล่ำสัน เป็นเพื่อนที่เคยเรียนมัธยมปลายห้องเดียวกัน (เป็นแชมป์จักรยานของโรงเรียนด้วยนะ) แต่ไม่ได้เจอกันเลยตั้งแต่จบมัธยมปลาย เมื่อเกือบ ๔๐ ปีมาแล้ว

พอ ถึงคิวเข้าห้องทำฟัน.. เห็นหน้าหมอเข้าจริงๆก็ตองเปลี่ยนใจ.. นึกในใจว่า "คงชื่อซ้ำกันมั้ง
เพื่อนกูไม่น่าจะแก่กว่ากูขนาดนี้นี่หว่า" เพราะหมอที่เห็นนั้นเป็นชายแก่ หัวที่ค่อนข้างล้านนั้นมีผมหงอกหรอมแหรม หน้าก็เ***่ยว

พอตรวจฟันเสร็จ ผมถามหมอว่าเรียนมอหกที่โรงเรียนบางแสนหรือเปล่า
"
ใช่ครับ" หมอตอบ
"
จบมอหกปีไหนน่ะ" ผมถามต่อ
"
ปี พ.ศ. ๒๕๐๘" หมอตอบ และถามว่า "ถามทำไมหรือครับ"
"
อ้าว.. ถ้าอย่างนั้นก็เรียนห้องฉันน่ะซิ" ผมตอบ

หมอจ้องหน้าผม เพ่งพินิจพิจารณา แบบพยายามทบทวนความทรงจำ แล้วในที่สุดก็ถามออกมาว่า
"
ขอประทานโทษเถอะครับ.. ผมนึกไม่ออกจริงๆ.. อาจารย์สอนวิชาอะไรครับ ?"

Thursday, May 13, 2010

มารู้จักกับผู้ก่อตั้ง FaceBook มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก

รวยระดับโลกตั้งแต่หนุ่มโดยไม่โกงใคร แต่ยังเช่าอพาร์ตเมนต์เล็ก ๆ
และขี่จักรยานหรือไม่ก็เดินไปทำงานทุกวันในทุกวันนี้


ความเป็นอัจฉริยะเหนือมนุษย์ทั่วไป ปรากฏให้เห็นตั้งแต่วัยหนุ่ม
ด้วยอายุเพียง ๒๐ ปี เท่านั้น

เขาสร้างเนื้อสร้างตัวรวยเร็วที่สุด เท่าที่นิตยสาร Forbes
เคยทำการสำรวจมาในหมู่ผู้ที่สร้างความร่ำรวยด้วยตนเอง !!

ราคาหุ้นมีมูลค่าสูงกว่า ๕๐,๐๐๐ ล้านบาท ขึ้นแท่นเป็น
มหาเศรษฐีอายุน้อยที่สุดอันดับหนึ่งของโลก ที่สร้างฐานะด้วยลำแข้ง
ของตนเอง โดยใช้เวลาเพียงแค่ ๖ ปี เท่านั้นเอง !!

หนุ่มผู้ที่กล่าวถึงนี้ คือ มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก !!

ผู้สร้าง Facebook.com ให้โลกได้รู้จัก และเป็นเครือข่าย
สังคมออนไลน์ขนาดใหญ่ที่สุดของโลก ที่มีผู้ใช้กันมากที่สุดในโลกขณะนี้

มารู้จักกับ มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก สักเล็กน้อย



มาร์ก ซักเกอร์เบิร์ก CEO ของ Facebook.com


มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก (Mark Elliot Zuckerberg) มีเชื้อสาย
ยิว - อเมริกัน เกิดเมื่อวันที่ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๒๗ (ปัจจุบันอายุ
๒๖ ปี) (คนเก่งระดับโลก เช่น ไอน์สไตน์, ฟอน บราวน์ เป็นต้น มักมี
เชื้อสายยิว - ผู้เขียน)

เติบโตในย่าน Dobbs Ferry นิวยอร์ก, สหรัฐอเมริกา

เข้าศึกษาระดับมัธยมที่ Ardsley High School และจบมัธยมปลาย
ที่ Phillips Exeter Academy ในปี ๒๕๔๕

สมัยเรียนไฮสกูล ซักเคอร์เบิร์กหัดเป็นโปรแกรมเมอร์ ตั้งแต่อยู่
ชั้น ป. ๖ เขากับเพื่อนสร้าง โปรแกรมสำหรับเรียนรู้นิสัยการฟังเพลงของ
ผู้ใช้ Winamp และ MP3 และเปิดให้ดาวน์โหลดฟรีทางอินเตอร์เน็ต
(คนเก่ง ๆ มักเรียนรู้ในการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ตั้งแต่เด็ก ตรงกันข้าม
กับเด็กไทยบางคน สนใจแต่เล่นเกมส์ และมีแนวโน้มจะมากขึ้น - ผู้เขียน)

ซัคเกอร์เบิร์กเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ด หยุดเรียนไป
กลางคัน และกลับมาลงทะเบียนเรียนอีกครั้งในปี ๒๕๔๙ ที่ฮาร์เวิร์ด
ซัคเกอร์เบิร์กเริ่มต้นโครงการวิจัยหรือโปรเจ็กต์ชิ้นแรกกับเพื่อนร่วมห้อง
Arie Hasit ชื่อของโปรเจ็กต์นี้คือ Coursematch เป็นบริการที่เปิดให้
นักศึกษาสามารถดูรายชื่อเพื่อนร่วมชั้นเรียนได้


โปรเจ็กต์ต่อมาคือ Facemash.com เว็บไซต์โหวตรูปนักศึกษา
ฮาร์เวิร์ดว่าใครได้รับความนิยมชมชอบมากหรือน้อย แต่แล้วเมื่อโปรเจ็กต์
นี้ให้บริการจริงบนโลกออนไลน์เพียง ๔ ชั่วโมง มหาวิทยาลัยก็ลงดาบระงับ
การใช้อินเทอร์เน็ตของซัคเกอร์เบิร์ก ด้วยข้อหาว่าโปรเจ็กต์นี้ของ
ซัคเกอร์เบิร์กละเมิดนโยบายการใช้งานอินเทอร์เน็ตที่มหาวิทยาลัยกำหนดไว้
และเป็นภัยต่อระบบความปลอดภัยคอมพิวเตอร์ของมหาวิทยาลัย

ซัคเกอร์เบิร์กคลอดบริการนาม Facebook จากห้องพักตัวเอง
ในมหาวิทยาลัยด้วยฤกษ์วันที่ ๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๗ บางแหล่งข่าวระบุว่า
ซัคเกอร์เบอร์เขียน โปรแกรม FaceBook ชุดดั้งเดิมในเวลาไม่ถึง ๒ สัปดาห์
คราวนี้ไม่ใช่บริการโหวตรูปหรือบริการแสดงรายชื่อเพื่อนร่วมชั้น แต่เป็น
บริการที่ให้นักศึกษาสามารถโพสต์ข้อมูลของตัวเองได้เท่าที่ต้องการ




Dustin Moskovitz เืพื่อนและผู้ร่วมก่อตั้ง Facebook.com
กับ Mark
Zuckerberg


แน่นอนว่าเฟสบุ้กได้รับความนิยมถล่มทลายในฮาร์เวิร์ด นักศึกษา
ราว ๒ ใน ๓ แห่ลงทะเบียนใช้งานตั้งแต่ ๒ สัปดาห์แรกที่เปิดให้บริการ ต่อมา
ซัคเกอร์เบิร์กและเพื่อน Dustin Moskovitz เริ่มขยายบริการเฟสบุ้กไปยัง
มหาวิทยาลัยอื่น เช่น สแตนฟอร์ด โคลัมเบีย และเยล โดยราว ๔ เดือน
สถานศึกษาที่ใช้บริการ Facebook มีจำนวนราว ๓๐ แห่ง เมื่ออะไรก็ไปได้สวย
ซัคเกอร์เบิร์กตกลงใจเดินทางไป Palo Alto แคลิฟอร์เนียพร้อม Moskovitz
และกลุ่มเพื่อนช่วงฤดูร้อนปี ๒๕๔๗ ทั้งกลุ่มวางแผนกลับฮาร์เวิร์ดให้ทัน
ฤดูใบไม้ร่วงแต่ก็เปลี่ยนใจอยู่ที่แคลิฟอร์เนียต่อไป และขาดเรียนที่ฮาร์เวิร์ด
ตั้งแต่นั้น

Facebook นั้น เป็นที่รู้จักในนามบริการออนไลน์ที่ทำให้ผู้ใช้
แบ่งปันข้อมูลกับเพื่อนที่อยู่ในสังคมเดียวกันแบบรวดเร็วทันใจ และเข้าถึง
ทั้งข้อมูลแฟ้มภาพถ่ายเมื่อครั้งไปเที่ยว ภาพยนตร์ที่ชอบ และประวัติส่วนตัว
ทั่วไป

ต่างจากเว็บไซต์ชุมชนออนไลน์อื่นตรงที่ Facebook เป็นชุมชน
ในโลกที่มีตัวตนอยู่จริง ใช้ชื่อ Email เดียวกันและต้องการทำความรู้จัก
คนอื่น ๆ ในสังคมเดียวกัน ทั้งหมดนี้โดนใจชาวอเมริกันที่กระตือรือร้นอยาก
จะรู้จักคนอื่นในสังคมเดียวกันให้มากขึ้น

ซัคเกอร์เบิร์กได้พบกับ Peter Thiel ผู้ร่วมก่อตั้งบริการชำระเงิน
ออนไลน์ PayPal ซึ่งให้ทุนก้อนแรกมา ๕ แสนเหรียญ สำนักงาน Facebook
แห่งแรกจึงกำเนิดขึ้นที่ University Avenue ในตัวเมือง Palo Alto นับจาก
นั้นไม่กี่เดือน ปัจจุบัน Facebook มีอาคารสำนักงานในเมือง Palo Alto
จำนวน ๔ อาคาร ซึ่งซัคเกอร์เบิร์กเรียกว่า "urban campus" หรืออาณาจักร
วิทยาลัย




จดหมายเปิดผนึกจาก Mark Zuckerberg เมื่อวันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๕๒
ที่น่าสนใจ เพื่อทราบแนวทางในการพัฒนา Facebook ในอนาคต

ลักษณะการทำงานของ Facebook


Facebook เปิดตัวในปี พ.ศ. ๒๕๔๗ โดย มาร์ก ซักเกอร์ เบิร์ก ซึ่งขณะนั้น
เป็นนักศึกษาหนุ่มน้อยวัยแค่ ๒๐ ปี จากมหาวิทยาลัยชื่อดัง "ฮาร์วาร์ด"
เขาร่วมมือกับเพื่อนอีก ๒ คน คิดค้นสร้าง เครือข่ายภายในรั้วมหาวิทยาลัย
โดยให้นักศึกษาที่สนใจสามารถเข้ามาอัพเดตและ แบ่งปันข้อมูลส่วนตัวและ
รูปภาพได้ จนได้รับความนิยมมากขึ้น จากภายในมหาวิทยาลัยกระจายสู่
มหาวิทยาลัยชั้นนำอื่น ๆ และขยายกลุ่มขึ้นเรื่อยๆ ปัจจุบันมีผู้สนใจจากทั่วโลก
เข้าลงทะเบียนใช้งานมากกว่า ๒๔ ล้านคน เฉลี่ยมีผู้ลงทะเบียนใหม่กว่า
๑๐๐,๐๐๐ รายต่อวัน


ลักษณะการทำงานของ Facebook

มีลิงก์จากเพื่อนส่งเข้ามาหาและถ้าตอบตกลง sign up เข้าไปก็จะ
เข้าไปอยู่ในเครือข่ายของ Facebook ทันที ขณะเดียวกันก็สามารถส่งลิงก์
เชื้อเชิญเพื่อนคนอื่นให้เข้ากลุ่มเป็นลูกโซ่ ต่อไปได้ โดยใน Facebook จะมี
การแบ่งปันข้อมูลประสบการณ์ของแต่ละคน อัพเดตรูปภาพที่ได้ไปเที่ยวกัน
มา พูดคุย ติดต่อ เมาท์ หรือแม้แต่เข้าไปยุ่งเรื่องคนอื่นก็ได้

บางคนอาจคิดว่า Facebook เหมือนกับ My space เว็บไซต์
เครือข่ายออนไลน์ที่ฮอตอยู่ในขณะนี้ แต่ Facebook มีมากกว่านั้น
ความโดดเด่นของ Facebook คือผู้ใช้งานต้องใช้ชื่อจริงและอีเมล์เดียวกัน
ในการลงทะเบียนและมีความต้องการที่จะรู้จักคนอื่นที่มีตัวตนจริง ๆ บนโลก
ใบนี้

นักวิจัยจากสถาบันแห่งหนึ่งจากอังกฤษกล่าวว่า Facebook ยอด
เยี่ยมกว่า My space เพราะเหมาะสำหรับ "เด็กดี" ขณะที่ My space เหมาะ
สำหรับ ขาร็อก ฮิปฮอป ศิลปิน หรือคนทำงาน


ความร้อนแรงและความหอมหวานของ Facebook และ
วิสัยทัศน์
อันกว้างไกลของ CEO หนุ่มไฟแรงแห่ง Facebook




ความร้อนแรง และความหอมหวานของ Facebook ทำให้บริษัท
ออนไลน์ยักษ์ใหญ่ ของโลกอย่าง Yahoo.com เสนอซื้อกิจการด้วยมูลค่า
สูงลิ่วถึง $ ๑.๖ พันล้าน แต่ได้รับการปฏิเสธจาก Mark Zuckerberg
ก่อนหน้านี้

เมื่อเร็ว ๆ นี้ยักษ์ใหญ่ Search Engine อย่าง Google ก็อยาก
ได้ Facebook มาไว้ในครอบครอง ด้วยการยื่นข้อเสนอทุ่ม ๒.๖ พันล้าน
ดอลล่าสหรัฐ ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างการเจรจา แต่ดูท่าทีของ CEO Zuckerberg
แล้ว ยังอยากเก็บหุ้นส่วน และบริษัทของตัวเองไว้มากกว่า

จากการทุ่มเสนอซื้อ Facebook ของ Google ครั้งนี้เป็นที่น่าสังเกต
ว่าราคาสูงกว่า ที่เคยซื้อ Youtube มากทีเดียว ซึ่งเดิมที Google ได้ซื้อ
Youtube มาด้วยราคา $ ๑.๖๕ พันล้าน

ขายหุ้นให้ไมโครซอฟท์

บิลล์ เกตส์ ผู้สร้างตำนานลาออกจากมหาวิทยาลัย เพื่อมาก่อตั้ง
ไมโครซอฟท์ เป็นนักลงทุนรายแรก ที่ยอมควักกระเป๋าจ่ายเงิน ๒๔๐ ล้าน
ดอลลาร์สหรัฐ แลกกับหุ้นเฟชบุ๊กเพียงแค่ ๑.๖ % เมื่อปลายปี ๒๕๕๐
ต้งแต่เฟซบุ๊กให้บริการมาได้แค่ ๓ ปี และมีผู้ใช้บริการเพียง ๕๐ ล้านคน
ขณะนั้น รายได้ของเฟซบุ๊กก็ยังไม่มากมายเท่าทุกวันนี้ โดยสามารถทำเงิน
เพียง ๑๕๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีสินทรัพย์รวมไม่ถึง ๒๐๐ ล้านดอลลาร์
สหรัฐ

กระนั้น การตัดสินใจของไมโครซอฟท์หนุนส่งให้มูลค่าตลาดของ
เฟซบุ๊กเพิ่มขึ้นเป็น ๑,๕๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในชั่วข้ามคืน

ช่วงเวลานั้น มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า ไมโครซอฟท์คงกินยาผิด
ถึงได้ตัดสินใจขี่ช้างจับตั้กแตนขนาดนั้น แต่นักวิเคราะห์ที่รู้จริงกลับเดาทาง
ถูกว่า เงินแค่ ๒๔๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นเรื่องจิ๊บจ๊อยมาก เมื่อเทียบกับ
สิ่งที่ไมโครซอฟท์หมายมั่นปั้นมือ

นั่นคือ การแลกกับสินทรัพย์มหาศาลที่มองไม่เห็นในงบดุล จาก
การเข้าถึงฐานลูกค้าจำนวนหลายสิบหลายร้อนล้านคนของ Facebook โดย
เฉพาะลูกค้าต่างประเทศ และลูกค้าในวัยหนุ่มสาว ซึ่งไมโครซอฟท์ยังเข้า
ไม่ถึง


ขายหุ้นให้กับ DST สัญชาติรัสเซีย


นอกจากนี้ ดีลประวัติศาสตร์อีกครั้งของ Facebook ก็คือตกลง
ขายหุ้นนิดหน่อยให้กับกลุ่มนักลงทุนอินเตอร์เน็ตยักษ์ใหญ่ สัญชาติรัสเซีย
"ดิจิตอล สกาย เทคโนโลยีส์" หรือ DST เพื่อแลกกับการเจาะตลาด
Facebook ในแถบรัสเซีย และยุโรปตะวันออก ซึ่ง DST เป็นเจ้าของธุรกิจ
และนายทุนใหญ่คุมตลาดอินเตอร์เน็ตทั้งภูมิภาคดังกล่าว

ดีลประวัติศาสตร์นี้ ตกลงกันสำเร็จเมื่อเดือน พฤษภาคม ปีที่แล้ว
โดยฝ่ายนายทุนหมีขาวใจป้ำยินดีจ่ายเงิน ๒๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ แลก
เปลี่ยนกับหุ้นบุริมสิทธิแค่ ๑.๙๖ % ของหุ้น Facebook ซึ่งขณะนั้นมีมูลค่า
รวม ๑๐,๐๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ พร้อมรับปากว่าจะไม่มีตัวแทนในบอร์ด
บริหารและไม่ก้าวก่ายเรื่องการบริหาร ซึ่งถือเป็นแนวทางสำคัญของ
Facebook ตลอดมา


ชีวิตส่วนตัว ของ Mark Zuckerberg





ถึงแม้จะร่ำรวยทั้งเงินทองและชื่อเสียงชนิดหาตัวจับยาก แต่ทุก
วันนี้ CEO หนุ่มแห่ง Facebook ยังคงใช้ชีวิตสมถะไม่แตกต่างจากเดิม

เขาชอบสวมสเวตเตอร์เชิ้ตสีน้ำตาล กับกางเกงสแล็กสีกากีง่าย ๆ
และรองเท้าแตะอาดิดาสคู่โปรด

ยังคงเช่าอพาร์ตเมนต์เล็ก ๆ อยู่ใกล้ออฟฟิศทำงานย่าน พาโล
อัลโต ซึ่งเป็นซิลิคอน วัลเลย์ ในรัฐแคลิฟอร์เนีย เหมือนเมื่อครั้งเริ่มก่อตั้ง
Facebook ใหม่ ๆ ภายในห้องมีแค่ฟูกนอนราคาถูก โต๊ะทำงานตัวเดียว
กับเก้าอี้สองตัว

ส่วนอาหารเช้าของมหาเศรษฐี ก็ยังเป็นซีเรียลใส่นมในชาม
กระดาษกับช้อนพลาสติก

และใครจะเชื่อว่าเขายังขี่จักรยาน หรือไม่ก็เดินไปทำงานทุกวัน !!!



เห็นไหมครับว่า คนรวยระดับโลกตั้งแต่หนุ่ม โดยไม่โกงใคร
ใช้เวลาสร้างตัวด้วยสมอง เพียง ๖ ปี เท่านั้นก็ยังมี แถมยังใช้ชีวิตสมถะ
เช่าอพาร์ตเมนต์เล็ก ๆ อยู่ และขี่จักรยานหรือไม่ก็เดินไปทำงานทุกวันใน
ทุกวันนี้

รวยล้นฟ้าแล้ว ทำอะไร ๆ มักน่ารักไปหมดเลย !!!

วิธีกด สเลอปี้ ใน 711 ขั้นเทพพพพพ

วิธีกด สเลอปี้ ใน 711 ขั้นเทพพพพพ



คำเตือน : การกดแบบนี้จะต้องใช้ความหนาของหน้าเล็กน้อยก่อนจ่าย ตัง

ใครหน้าบาง หรือไม่มั่นใจในฝืมือไม่ควรทเพราะอาจโดนจิกจากพนักง านได้เมื่อเราทำมันหักใน7-11

เอาล่ะมาเริ่มกันเลยยย

ขั้นที่1 หยิบแก้วขึ้นมา

แก้วทั้งหมดมี3ขนาด S=10บาท M=17บาท L=20บาท

สำหรับผู้ฝึกใหม่อาจจะใช้แก้วละ17 หรือ20ก็ได้(แต่เค้าใช้แก้วละ10บาท5555+)





ขั้นที่2 กดจนปริ่มๆขอบของแก้วสเลอปี้



จะสังเกตุได้ว่าเวลากดมันจะสูงกว่าแก้วเล็กน้อย ดังนั้นถ้าไม่ได้กดให้ใครก็กัดหัวข้างบนก่อน


ขั้นที่3 ตอกสเลอปี้แถวๆนั้นแหละหรือจะตอกกับมือก็ได้

แนะนำนิดหน่อยสำหรับขั้นนี้มีคนเข้าใจผิดว่ายิ่งตอกน านจะยิ่งแน่แล้วจะคุ้ม

ความจริงแล้วถูกครึ่งนึง มันคุ้มแต่ว่ามันจะอัดแล้วกลายเป็นน้ำข้างใต้สเลอปี้ เราอาจล้มได้

เพราะฉะนั้น ตอกให้พอดีพอเหมาะจะดีกว่า




ขั้ั้นที่4 กดสเลอปี้ขึ้นมาให้ได้1ก้อนโดยใช้วิธีอะไรก็ได้

สำหรับคนหัดใหม่ต้องรู้จักการบิดเครื่องกดว่าบิดขนาด นี้จะมาเร็วแบบนี้ เรื่องนี้เป็นเรื่องของความเคยชิน 5555




ข้อแนะนำสำหรับขั้นนี้คือ เมื่อกดได้1ก้อนควรเป่าไล่อากาศออกไปก่อน เพราะว่ามันเป็นรูพรุนๆ

เมื่อเราเป่ามันก็จะยุบลงเล็กน้อย ทำให้โครงสร้างฐานแข็งแรงขึ้น

ขั้นที่5 เราต้องแน่ใจว่าขั้นที่4ของเราแน่แล้ว เราจึงกดขั้นที่5เป็นก้อนอีก1ก้อน

ข้อควรระวังคือไม่ควรกดมากจนมันไหลไปด้านข้าง เมื่อมันไหลเราจึงหยุดกดแล้วเป่าเหมือนขั้นที่4




ขั้นที่6 เราก็ทำเหมือนขั้นที่5นั่นแหละ เพียงแต่กดไปเรื่อยๆจนกว่าจะพอใจ 55555+

มาดูผลงานกันดีกว่า




นี่คือขั้นที่6











กดจนสุดจะมีลักษณะแบบนี้

เอาล่ะสอนจนครบหลักสูตรแล้ว ก็ลองทำกันได้ตาม7-11ทุกแห่งที่มีสเลอปี้















Wednesday, May 12, 2010

[ขำขัน] บางครั้งบางสิ่งก็ไม่อาจอธิบายได้

ชายคนหนึ่งนั่งหน้าเศร้าอยู่ในบาร์ พอดีคนรู้จักแวะเข้ามาเห็นจึงทักทายอย่างเป็นห่วงว่า
เฮ้? ..ทำไมมานั่งเหงาอยู่คนเดียวล่ะ มีเรื่องอะไรเหรอ ?
ชาวนาส่ายหน้า แล้วตอบว่า??? “บางเรื่องก้อไม่อาจอธิบายได้”
มีเรื่องอะไรนักหนา เล่าให้ผมฟังสิ
ชายมาใหม่นั่งลงใกล้ๆ
..เมื่อเช้าผมรีดนมวัวอยู่ดีๆ พอนมวัวใกล้เต็มถังไม่รู้วัวมันเป็นอะไรขึ้นมา มันยกเท้าซ้ายเตะถังล้มคว่ำ
เอ? ฟังดูก็ไม่มีอะไรนี่นา…
“บางเรื่องก้อไม่อาจอธิบายได้”? ชาวนาตอบ
..ถ้างั้น เกิดอะไรขึ้นล่ะ
ผมก็เลยมัดขาซ้ายมันไว้กับเสาด้านซ้าย แล้วผมก็รีดนมมันต่อ พอใกล้จะเต็มถัง มันก็ยกเท้าขวาเตะถังล้มลงอีก
…อีกแล้วเรอะ…ชายที่ได้ฟังหัวเราะ
แล้วคุณทำไงต่อล่ะ
“บางเรื่องก้อไม่อาจอธิบายได้”
ชาวนาตอบ ก่อนที่จะเล่าต่อ
ผมก็เลยมัดขาขวามันไว้กับเสาด้านขวา
แล้วหลังจากนั้นล่ะ
ผมก็รีดนมมันต่อ พอใกล้เต็มถังอีก มันก็ใช้หางปัดถังล้มลง
อืม….ชายผู้นั้นพยักหน้าหงึกๆ
“บางเรื่องก้อไม่อาจอธิบายได้”? ชาวนาบอกอีก
แล้วคุณทำไงต่อล่ะ
ผมหาเชือกไม่ได้ เพราะใช้ไปหมดแล้ว
ผมก็เลยถอดเข็มขัดออก แล้วคล้องหางมันไว้กับคาน
นาทีนั้นเอง…กางเกงผมก็หลุดลงกองกับพื้น

แล้วเมียผมก็เดินเข้ามาเห็นพอดี!!!
คุณว่ามั๊ย? “บางเรื่องก้อไม่อาจอธิบายได้” !!!!!

[ขำขัน] ลักษณะของภาพยนตร์ Action

คุณลักษณะของภาพยนตร์แนว Action ที่พึงประสงค์?
๑. หนัง Action ทุกเรื่อง พระเอกจะสามารถฆ่าผู้ร้ายได้ทั้งกองทัพ แม้ว่าจะมาคนเดียวแถมกระสุนปืนก็ไม่เคยมี
๒. เมื่อจะเกิดระเบิด พระเอกจะวิ่งมาข้างหน้าแล้วกระโดด ระเบิดถึงจะระเบิดตามมา
๓. ตัวประกอบฝ่ายผู้ร้าย ถึงพระเอกยิงไม่โดนก็ต้องโดน ถ้าอยู่ที่สูงต้องหล่นลง ถ้าอยู่ที่ต่ำต้องโดนแสกหน้า ถ้าเป็นตัวรองก็ต้องโดนยิงตรงหัวใจ
๔. หนังจีนกำลังภายใน แม้พระเอกจะโดนดาบแทงก็ยังสามารถพูดต่อได้อีก ๒ ? ๓ ตอน จนกว่าเลือดจะไหลออกมาจากมุมปากพร้อมสะอึก ตาค้างบนตักนางเอก ที่สำคัญทุกคนในเรื่องมัวแต่ล้างแค้นกัน จนไม่มีใครทำงาน
๕. พระเอกสามารถที่จะหลบกระสุนปืนจากผู้ร้ายได้เสมอ แม้ว่าจะเป็นปืนกลก็ตามหรือระเบิดน้ำลึก
๖. เมื่อผู้ร้ายโยนระเบิดมาจะไม่เคยโดนพระเอกสักที บางทียังขว้างคืนกลับไปได้อีกด้วย
๗. ถ้ารถของคนร้ายเกิดชนไม่ว่าแรงหรือเบาก็จะระเบิด เศษโลหะปลิวว่อน ไฟลุกท่วมจอ
๘. พระเอกจะเอาชนะผู้ร้ายเสมอ

[ขำขัน] คุณสมบัตินางเอกละครไทย

นี้คือคุณสมบัติของนางเอกละครไทยที่ต้องมี ถ้าคุณจะเป็นนางเอก?
๑. หมั่นซ้อมบทผู้ชายไว้ คุณอาจต้องได้ปลอมตัว
๒. ทุกคนจะโง่หมด โดยเฉพาะพระเอกจะไม่รู้ว่าคุณเป็นคุณหญิง
๓. ถ้าเป็นสาวจอมแก่น จ้องนายอำเภอหรือปลัดไว้ นั่นล่ะพระเอก
๔. คุณจะเกิดมาเพียบพร้อมด้วยรูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติและชาติตระกูล ถ้าไม่ใช่อย่ากังวล สุดท้ายคุณจะเป็นทายาทแล้วก็จะได้สามีรวย
๕. นอกจากบทผู้ชายแล้ว ให้ซ้อมบทคนใช้ไว้ด้วย เพราะคุณอาจต้องปลอมตัวเพื่อสืบอะไรบางอย่าง แต่จะเป็นคนที่ยอดอัจฉริยะจริงๆ
๖. บางคนอาจเติบโตมาในซ่อง แต่ไม่เป็นไรคุณจะบริสุทธิ์ผุดผ่อง และใฝ่ดีอยู่เสมอ
๗. ถ้าผู้ร้ายปล้ำอย่าตกใจ เดี๋ยวพระเอกจะมาช่วยเอง แม้ว่าจะอยู่ไกลแค่ไหนก็ตาม
๘. ถ้ามีใครขับรถชนพ่อแม่ พี่น้อง ญาติสนิทของคุณ ให้รู้ไว้เลยว่าไอ้นั่นคือพระเอก
๙. ถ้าตระกูลเธอมีความแค้นกับบ้านไหน ให้เล็งลูกชายบ้านนั้นไว้ คุณจะได้แต่งงานกับหมอนั่นแหละ
๑๐. ในกรณีที่พระเอกมีเมียแล้วอย่ากังวล สุดท้ายนางนั่นจะตาย / เป็นบ้า / เป็นฆาตกรโรคจิต / เป็นคนผิดที่กดดันพระเอกมากไป พูดง่ายๆ คือคุณจะพ้นการถูกกล่าวหาว่าแย่งสามีชาวบ้านอย่างสบายใจ
๑๑. ไม่ว่าภายนอกของคุณจะดูโชกโชนขนาดไหน ความจริงคุณคือสาวบริสุทธิ์แสนดี แต่มีเหตุทำให้คุณต้องร้ายกาจเพื่อประชดตัวเอง
๑๒. ถ้าบังเอิญต้องย้ายไปอยู่กับญาติห่างๆ ที่มีคฤหาสน์หลังใหญ่ เบ่งเข้าไว้คุณคือเจ้าของตัวจริง
๑๓. ชายหนุ่มคนที่คุณคบด้วยตั้งแต่เริ่มต้นจะไม่ใช่พระเอก
๑๔. คุณมักจะได้รับการศึกษาในระดับสูง โดยมากจะจบจากนอก อย่ากังวลคุณไม่ต้องรับผิดชอบการงานมากนัก นอกจากไล่จับพระเอกกับแต่งตัวสวยเสมอ
๑๕. คุณอาจจะได้ไปเมืองนอก วันๆ คุณจะต้องหมกตัวอยู่ในห้องพักที่จัดไว้หลอกตาคนว่า เป็นห้องพักในปารีสหรือลอนดอนตามท้องเรื่อง และถ้าได้เดินก็บังเอิญจะต้องเดินผ่านเฉพาะที่สำคัญที่เป็นสัญลักษณ์ของ ประเทศนั้นทุกที
๑๖. ถ้าคุณมีบทนอนหลับอย่างผาสุก ไม่ต้องท่องบท หน้าตาคุณจะได้รับการตกแต่งอย่างดีเลิศ ตื่นเช้าก็ไม่ต้องแปรงฟัน ผมเผ้าไม่มีวันยุ่งเหยิง
๑๗. ถ้าคุณตกระกำลำบากมากในป่าดงดิบเมื่อไหร่ คุณจะได้ไปนครนายก สระบุรี ถ้ำ น้ำตกแถวๆ นั้นทุกเรื่องนั่นแหละ

Tuesday, May 11, 2010

[ขำขัน] ความหวัง

ไอ้หนุ่มจอมสำส่อนเที่ยวผู้หญิงจนติดโรคซิฟิลิสมา ถึงแม้จะไม่ถึงตายอย่างเอดส์แต่อาการก็หนักขนาดที่ว่าหมอส่ายหน้า
"ไม่ไหวแล้วล่ะคุณ" หมอบอกข่าวร้าย "ยังงี้ต้องตัดทิ้งสถานเดียว ไม่งั้นเนื้อเน่าลุกลามอาจถึงตายได้เชียวนะ"
ไอ้หนุ่มตะลึง ทำใจไม่ค่อยจะได้ แต่ในที่สุดก็ขอหมอกลับไปตัดสินใจก่อนคืนหนึ่ง
ขณะที่กำลังกลับบ้าน เขาผ่านร้านของซินแสจีนคนหนึ่ง "รักษาด้วยวิชาการแพทย์ล้ำลึกสองพันปี" ป้ายหน้าร้านให้ความหวังจนเขาปล่อยให้เท้านำตัวเขาเข้าไปในร้าน
"เป็งอารายมา ลองล่าวอากางห้ายอั๊วฟังซิ" ซินแสถาม
เขาเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังรวมทั้งคำพูดของหมอแผนปัจจุบันด้วย
"เฮอะ หมอหัวหรั่ง เอะอะอารายก็จาตัดทิ้ง" ซินแสพูดหยันหมอแผนปัจจุบันหลังจากที่ได้เห็นสภาพของไอ้น้องชายของไอ้หนุ่ม
"ซินแส กำลังจะบอกผมว่าไม่ต้องตัดทิ้งแล้วใช่ไหมครับ" ความหวังของไอ้หนุ่มลุกโชน
"ม่ายต้องตัด" ซินแสฟันธง "ลื้อเอายานี่ไปโปะนะ" พลางคว้ากระปุกครีมสีน้ำนมขึ้นมากระปุกหนึ่ง "รับรอง คืงเลียวแห้ง ร่วงเองเลย ม่ายต้องตัด!!!"

[ขำขัน] ข้อความสุดท้าย

เฟรด เป็นคริสเตียนที่ดีคนหนึ่ง ตอนนี้เขาป่วยหนัก

นอนใกล้ตายอยู่ในโรงพยาบาล ญาติๆเรียกนักบวชมา …

เมื่อนักบวชมายืนข้างๆเขา เฟรดขยับมือเพื่อต้องการเขียนอะไรบางอย่าง

นักบวชรีบส่งปากกากับเศษกระดาษให้เฟรด เฟรดใช้แรงที่เหลือทั้งหมด

เขียนข้อความได้เพียงประโยคเดียวก็สิ้นลม

นักบวชเก็บกระดาษไว้ในกระเป๋า พร้อมกับเสียง ร้องไห้เสียใจของญาติๆ

ในพิธีฝังศพ หลังจากที่นักบวชคนเดิมกล่าวคำตามพิธี

เสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็นึกถึงเศษกระดาษที่เฟรดเขียนไว้ก่อนตาย

เขาจึงประกาศว่า “ก่อนสิ้นลม เฟรดได้ฝากข้อความ ไว้ให้พวกเรา

ฉันมั่นใจว่าจะเป็นคำที่ให้กำลังใจพวกเราได้ดี”

เขาล้วงเอากระดาษออกมาแล้วอ่าน

“ถอยไปไอ้บ้า แกยืนเหยียบสายออกซิเจนอยู่โว้ย!!!”

[ขำขัน] หมอเดียวกัน

ปรายเนตร เป็นคนสวย แต่ไม่มีความสุขกับร่างกายของตัวเอง จึงไปหาหมอชวลิต แพทย์ชื่อดังด้านศัลยกรมมความงาม

ปรายเนตร : คุณหมอคะ ดิฉันมีปัญหาเกี่ยวกับหน้าอกเล็กค่ะ

หมอเชาวลิต : ง่ายนิดเดียว แค่คุณสั่นแขนตลอดเวลา ก็จะช่วยให้อกคุณอวบอิ่มขึ้นมาได้

วันต่อมาบนรถไฟฟ้า วิชัย ชายหนุ่มรูปหล่อเห็นปรายเนตรทำท่าทางผิดปกติโดยสั่นแขนตลอดเวลา จึงเข้าไปถามว่า

วิชัย : คุณครับ คุณไปหาหมอชวลิตมาใช่ไหมครับ

ปรายเนตร : ใช่ค่ะ…อ้าว แล้วคุณรู้ได้อย่างไร

แล้วปรายเนตรก็รู้คำตอบได้ทันที เมื่อเห็นวิชัยนั่งสั่นขาอยู่ตลอดเวลาเหมือนกัน

Sunday, May 9, 2010

[ขำขัน] หมอเดียวกัน

ปรายเนตร เป็นคนสวย แต่ไม่มีความสุขกับร่างกายของตัวเอง จึงไปหาหมอชวลิต แพทย์ชื่อดังด้านศัลยกรมมความงาม

ปรายเนตร : คุณหมอคะ ดิฉันมีปัญหาเกี่ยวกับหน้าอกเล็กค่ะ

หมอเชาวลิต : ง่ายนิดเดียว แค่คุณสั่นแขนตลอดเวลา ก็จะช่วยให้อกคุณอวบอิ่มขึ้นมาได้

วันต่อมาบนรถไฟฟ้า วิชัย ชายหนุ่มรูปหล่อเห็นปรายเนตรทำท่าทางผิดปกติโดยสั่นแขนตลอดเวลา จึงเข้าไปถามว่า

วิชัย : คุณครับ คุณไปหาหมอชวลิตมาใช่ไหมครับ

ปรายเนตร : ใช่ค่ะ…อ้าว แล้วคุณรู้ได้อย่างไร

แล้วปรายเนตรก็รู้คำตอบได้ทันที เมื่อเห็นวิชัยนั่งสั่นขาอยู่ตลอดเวลาเหมือนกัน

[ขำขัน] ผิดจรรยาบรรณ

หมอเลี๊ยะ : ในที่สุดผมก็ทำลงไปแล้ว ผมทำลงไปได้ยังไงเนี่ย ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าผมจะทำมันลงไปได้
เสียงลึกลับ : อย่ากังวลไปเลย นายไม่ใช่คนแรกหรอกที่มีอะไรๆ กับคนไข้ของตัวเอง
เสียงนี้ทำให้หมอเลี๊ยะเกิดความเชื่อมันขึ้นมาหน่อยหนึ่ง แต่แล้วก็เหมือนสายฟ้าฟาดลงกลางกระหม่อม
เสียงลึกลับ : แต่เอ็งเป็นสัตวแพทย์นะโว้ยยย..

[ขำขัน] เลี้ยงปลาอะไร

ณ โรงพยาบาลบ้า วันนี้หมอก็ได้ทำการทดสอบผู้ป่วยอีกแล้วครับท่าน
พอดีทางโรงพยาบาลได้ขุดบ่อน้ำเล็กๆ เพื่อ ตกแต่งสถานที่บริเวณโรงพยาบาลให้สวยงามขึ้น
หมอทดสอบโดยการให้ผู้ป่วยออกความคิดว่าจะใช้บ่อน้ำเล็กๆนี้ ทำอะไรดี หมอเริ่มถามผู้ป่วยทีละคน
ผู้ป่วยคนแรกตอบว่าเอาไว้เป็นท่าเทียบเรือครับ ผู้ป่วยคนที่สองตอบว่าเอาไว้แข่งว่ายน้ำกีฬาโอลิมปิค
ผู้ป่วยคนที่สามตอบเอาไว้เล่นบานาน่าโบ๊ทครับ ถามไปหลายคนมากแต่ก็ไม่มีใครตอบได้อย่างมีเหตุผลเลย
จนถึงคนสุดท้าย หลาย คนคงทราบ เค้าคือนายหิดนี่เอง คำตอบของเค้าทำให้หมอประหลาดใจอย่างมาก…..

หมอ : บ่อน้ำเล็กนี่ เธอคิดว่าน่าจะใช้ทำอะไรได้
นายหิด : เลี้ยงปลาครับหมอ
หมอ : เธอเป็นคนเดียวเลยนะ ที่ตอบได้มีเหตุผล เธอหายแล้วหล่ะ พรุ่งนี้จะโทรให้ญาติเธอมารับ
หมอ : เอ่อ…. ว่าแต่ว่า เธอจะเลี้ยงปลาอะไรหล่ะ
นายหิด : ปลาวาฬ…..
หมอ : ?!!?!

Saturday, May 8, 2010

ทำไมหมาถึงน่ารักกว่าผู้ชาย

หมาน่ารักกว่าผู้ชายเพราะ……
1.หมาคิดถึงคุณเวลาคุณไม่อยู่บ้าน

2.หมารู้สึกผิดเวลามันทำอะไรผิดพลาด

3.หมาไม่วิพากษ์วิจารณ์เพื่อนของคุณ

4.หมาไม่รู้สึกอึดอัดกดดันโดยความฉลาดหลักแหลมของคุณ

5.คุณสามารถสอนหมาได้

6.คุณไม่ต้องวิตกกังวลสงสัยเวลาหมาคุณละเมอแปลกๆ

7.หมาเข้าใจว่า”ไม่”หมายถึงอะไร

8.หมาเข้าใจว่าเพื่อนของมันไม่มีสิทธิเข้ามาในบ้าน

9.หมาวัยกลางคนไม่ทิ้งคุณไปหาเจ้าของใหม่ที่เอ๊าะกว่า

10.หมาจูบคุณด้วยความจิงใจทุกครั้ง

สุนัขต่างจากผู้ชายตรงไหน

สุนัข..จะซื่อสัตย์กับเจ้าของของมันเท่านั้น แต่ผู้ชายวายร้ายสายสมร

สุนัข..จะรอนายกลับมาบ้านเสมอ แต่ผู้ชายนายไม่กลับ มันร่าเริง

สุนัข..เฝ้าบ้านได้ แต่ผู้ชาย ไม่วายต้องออกจากบ้าน

สุนัข..รักนายกว่าชีวิต แต่ผู้ชายรักควายมากกว่าเมีย

สุนัข..ไม่โกหก แต่ผู้ชาย ไม่โกหกไม่ใช่ชาย

สุนัข..ไม่กัดนายตัวเอง แต่ผู้ชายแว้งกัดได้ทุกเวลา

สุนัข.. กลับบ้านทุกวัน แต่ผู้ชาย ไม่กลับก็ได้ งานมันเยอะ

สุนัข.. ไม่ทำบ้านเลอะเทอะ แต่ผู้ชายทำมันเลอะทั้งบ้าน

สุนัข..ไม่กินเหล้าเมายา แต่ผู้ชายกินเหล้าได้ไม่อายหมา

สุนัข.. ไม่ข่มเมีย ต่อหน้าเพื่อน แต่ผู้ชาย ตยตีเมีย เยี่ยงวัวควาย

สุนัข..แค่ดีดนิ้วก็กลับบ้าน .. แต่ผู้ชายให้ร้องไห้ให้ตายก็ไม่กลับ

สุนัข.. ไม่มีเล่ห์เหลี่ยนกลโกง แต่ผู้ชาย หลายร้อยกระบวนท่า

สุนัข .. เห่า มั่วซั่ว ผู้ชายไม่เห่า แต่มั่วไปทั่ว

ไปพาแม่เอ็งมาเร็ว

ไอ้หนุ่มบ้านนอกคนหนึ่งพาลูกเมียมาเที่ยวห้างสรรพสินค้าในเมืองเป็นครั้งแรก พวกเขาตื่นตาตื่นใจกับทุกสิ่งที่เห็น โดยเฉพาะประตูสีเงินสองบานซึ่งสามารถเปิดออกและหุบเข้ามาหากันด้วยตัวเองได้
?นั่นอะไรหรือพ่อ? ลูกชายถาม
?พ่อไม่เคยเห็นอะไรหน้าตาอย่างนี้มาก่อนเหมือนกัน? พ่อตอบ
ขณะที่สองพ่อลูกยืนดูอยู่ก็มีหญิงชราคนหนึ่งนั่งรถเข็นไปที่หน้าประตู เมือกดปุ่มที่ผนังประตูก็เปิดออก หญิงชราเลื่อนรถเข็นเข้าไปในห้องเล็กๆนั้นแล้วประตูก็ปิดลงอีกที
สองพ่อลูกยืนดูปุ่มเล็กๆที่มีตัวเลขเหนือประตูนั้นสว่างแล้วดับไล่กันไปช้าๆ เขาดูจนกระทั่งมันเลื่อนตำแหน่งไปถึงปุ่มสุดท้าย แล้วแสงไฟก็สว่างไล่กลับมาทางเดิม จนในที่สุดประตูก็เปิดออกอีกครั้ง คราวนี้มีสาวสวยคนหนึ่งเดินออกมา
ไอ้หนุ่มบ้านนอกยืนตาค้าง ก่อนที่จะกระซิบบอกลูกชาย
?ไอ้หนู ไปพาแม่เอ็งมาเร็ว?

Thursday, May 6, 2010

เลือกตายแบบไหน

ชาย 3 คนเข้าไปเที่ยวในป่าลึก และถูกพวกคนป่าจับตัวไป
พวกเขาถูกพาไปยังแดนประหาร หัวหน้าเผ่าพูดว่า
“จะให้เราฆ่าพวกแกเหมือนพวกแกเป็นคนขี้ขลาดตาขาว
หรือพวกแกจะฆ่าตัวตายเอง
พวกแกเลือกอาวุธเองได้ พอพวกแกตาย
พวกเราจะถลกหนังของพวกแกมาทำเป็นเรือแคนู”
ชายคนแรกเป็นชายชาติทหาร เขาเลือกปืนพก จากนั้นก็กล่าวคำปฏิญาณ
แล้วยิงตัวตาย
จากนั้น พวกคนป่าก็หามศพเขาออกไป ชายคนที่ 2 เป็นชายชาตินักรบ
เขาเลือกดาบ? และทำฮาราคีรีแบบชาวญี่ปุ่น

ชายคนสุดท้ายเลือกส้อม

“ส้อมเหรอ?”? หัวหน้าเผ่าถามอย่างประหลาดใจ แต่ไหนๆ
ก็เป็นคำขอครั้งสุดท้ายก่อนตาย
หัวหน้าเผ่าเลยส่งส้อมให้ชายคนสุดท้าย
เขาใช้ส้อมแทงที่หน้าอกตัวเองซ้ำแล้วซ้ำอีก และตะโกนขึ้นว่า
“ขอให้เรือแคนูของแกจม” !!!! …

ม้าส่ายหน้า

มีพระราชาอยู่องค์หนึ่งมีม้าแสนรู้กับธิดาแสนสวยท้าประลวงทั่วแค้วว่า

ใครทำให้ม้าส่ายหน้าได้จะยกลูกสาวให้

ซึ่งพระราชาเตี้ยมกับม้าไว้แล้วว่าใครทำอะไรก็ให้พยักหน้าอย่างเดียวห้ามทำอย่างอื่น

ก็มีคนมาท้าประลองมากมายแต่ก็ไม่สามารถทำให้ม้าส่ายหน้าได้

จนมาถึงหน่มพเนจรอยู่คนหนึ่ง เขาสามารถทำให้ม้าส่ายหน้าได้ พระราชาประหลาดใจมาก จึงไปถามชายพเนจรผู้นั้นว่า

“ทำอย่างไรม้าของข้าจึงส่ายหน้าให้ท่าน”

หนุ่มพเนจรตอบว่า “ข้าไม่ได้ทำอะไรเลย ข้าเพียงแต่เอาตะเกียบไปดีดไข่มันแล้วถามว่าเอาอีกไหม”

ข้อดีของการเป็นหมา

1.ไม่มีใครคอยจ้องสังเกตว่าอาบน้ำทุกวันหรือเปล่า
2.เวลาคันหลังก็ไม่ต้องวาคนอื่นเกาให้
3.อาหารทุกอย่างอร่อยหมด
4.สนุกกับกระดูกที่ฝังดินใว้ได้เป็นชั่วโมง
5.ถึงขนขึ้นผิดที่ก็ไม่มีใครเห็น
6.เดินโม้ได้ทั้งวันโดยไม่ต้องกลัวถูกไล่ออกจากงาน
7.ไม่มีใครติหนิเวลาไปนอนหนุนตักคนแปลกหน้า
8.เห็นหน้าคนซ้ำๆก็ไม่รู้สึกเบื่อ
9.การมีเท่าโตกลายเป็นจุดเด่น
10.ความรักสมัยวันรุ่งก็สามารถยืดยาวได้